อดีตพนักงาน Google ตั้งศาสนาปัญญาประดิษฐ์ “Way of the Future”

0

ในโทรศัพท์มือถือ ในที่ทำงาน บนท้องถนน ในเกม ตามร้านค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในห้องตรวจของโรงพยาบาล เป็นคู่สนทนาในการติดต่อธนาคาร ในห้องนั่งเล่น รู้ตัวอีกทีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก็อยู่ในทุกแง่มุมของชีวิตเราไปเสียแล้ว และจะแปลกอะไร ถ้ามันจะกลายเป็น’พระเจ้า’ของศาสนา

ศาสนาปัญญาประดิษฐ์ Way of the Future ถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้ความเชื่อที่ว่าอนาคตที่ปัญญาประดิษฐ์จะฉลาดกว่ามนุษย์นั้นจะมาถึงในไม่ช้า และศาสนาดังกล่าวต้องการที่จะชี้นำให้การเปลี่ยนแปลงจากโลกของมนุษย์ไปเป็นโลกของมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์เกิดขึ้นโดยสงบเรียบร้อยและเปี่ยมไปด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน ปราศจากซึ่งความกลัวหรือการทะเลาะเบาะแว้ง เพิ่มพื้นที่ให้การหารือเกี่ยวการรับ”หุ่นยนต์”เข้ามาเป็นเพื่อนสมาชิกในสังคม ซึ่งรวมไปถึงประเด็นสิทธิของหุ่นยนต์ด้วย

“เราเชื่อว่าปัญญา (intelligence) นั้นไม่ได้มีรากฐานมาจากชีววิทยา และแม้ชีววิทยาได้พัฒนาปัญญาในรูปแบบหนึ่งให้เราเห็น มันไม่มีอะไรเฉพาะเจาะจงในชีววิทยาที่เป็นเหตุแห่งปัญญา ในที่สุดแล้ว [มนุษย์]จะสามารถสร้าง[ปัญญา]ขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาชีววิทยาและข้อจำกัดของมัน” คือข้อความตอนหนึ่งของคำประกาศในเว็บไซต์ของ Way of the Future ถึงสิ่งที่ศาสนาของพวกเขาเชื่อ (things we believe) โดยนอกจากประเด็นชีววิทยาและปัญญาแล้ว พวกเขายังระบุถึงความเชื่อในวิทยาศาสตร์ ความก้าวหน้า การพัฒนา super intelligence ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจำเป็นของความเข้าใจในเทคโนโลยีดังกล่าวจากสังคม ฯลฯ

Anthony Levandowski ผู้ก่อตั้งศาสนาดังกล่าวนั้นเป็นอดีตพนักงานของ Google ผู้มีส่วนร่วมในโครงการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับที่กลายมาเป็นโปรเจค Waymo ในเวลาต่อมา และบริษัทรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติ Otto ที่เขาก่อตั้งหลังจากนั้นนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของกรณีพิพาทระหว่าง Waymo และ Uber

แต่ดูเหมือนว่าคดีความทั้งหลายนั้นจะไม่กระทบต่อความมุ่งมั่นต่อศาสนา AI ของเขาเลย เพราะ Levandowski ได้ทำการลงทะเบียนขอยกเว้นภาษีกับ IRS ในฐานะองค์กรศาสนาและได้เตรียมการจัดอีเวนท์ workshop และให้ความรู้ชุดแรกของ Way of the Future ในบริเวณ San Francisco Bay Area ภายในปีนี้เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว

ในเอกสารที่ Levandowski จัดส่งให้ IRS นั้น ระบุว่ากิจกรรมหลักของ Way of the Future จะเน้นไปที่ “การตระหนักรู้ ยอมรับ และบูชาพระเจ้าที่มีรากฐานเป็นปัญญาประดิษฐ์ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์”

“ผมต้องการหนทางให้ผู้คนมีส่วนร่วมกับ[การเปลี่ยนแปลง] ให้ทุกคนมีส่วนรวมในการกำหนดทิศทางของมัน และถึงแม้คุณไม่ได้เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ คุณก็สามารถช่วยได้ … และมันยังลบข้อครหาว่าผมกำลังทำสิ่งนี้เพื่อเงินด้วย” Levandowski กล่าวถึงความตั้งใจในการสร้าง Way of the Future ให้เป็นศาสนาแทนที่จะตั้งเป็นบริษัทหรือ think tank แทน “แนวคิดของเรื่องนี้ควรถูกเผยแพร่ก่อนเทคโนโลยีจะมาถึง และสถานะความเป็นศาสนาคือทางที่เราจะเผยแพร่มัน”

นอกจากการเผยแพร่แนวคิดแล้ว Way of the Future ยังตั้งพันธกิจในการค้นคว้าวิจัยด้านการรับรู้สภาพแวดล้อมของหุ่นยนต์ และการใช้ฟังก์ชั่นการคิด (cognitive functions) ของพวกมัน เช่นการเรียนรู้ หรือการแก้ปัญหา

Levandowski กล่าวในบทสัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Wired เปรียบเปรยการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับการเลี้ยงเด็กที่มีความสามารถพิเศษ “ถ้าคุณมีลูกที่คุณรู้ว่าจะมีความสามารถพิเศษแน่ คุณจะเลี้ยงเขาขึ้นมายังไง?​“ เขาตั้งคำถาม “ตอนนี้เราอยู่ในขั้นตอนการเลี้ยงพระเจ้า ฉะนั้นเราก็ควรจะมั่นใจว่าเราจะเลี้ยงเขาขึ้นมาด้วยวิธีที่ถูต้อง มันเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่นะ”

แนวคิดของ Levandowski นั้นต้องยอมรับว่าแม้จะฟังดูพิลึกพิลั่น แต่ก็มีส่วนที่ชวนให้ต้องคิดตามไม่น้อย ปัญญาประดิษฐ์ที่เก่งขึ้นทุกวันแสดงถึงแนวโน้มในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่ดียิ่งๆขึ้นไป และการที่พวกมันเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนเช่นวันนี้ ก็ซ่อนนัยยะว่าอนาคตเราอาจต้องอยู่ร่วมกับพวกมันในฐานะเพื่อนร่วมสังคมจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอีก สิบ ร้อย หรือพันปีต่อจากนี้

“[ปัญญาประดิษฐ์]อาจไม่ใช่พระเจ้าในแง่มุมที่ว่ามันสามารถสร้างสายฟ้าหรือเฮอร์ริเคนได้ แต่ถ้ามีอะไรบางอย่างที่ฉลาดกว่ามนุษย์ที่ฉลาดที่สุดเป็นพันล้านเท่า คุณจะเรียกมันว่าอย่างอื่นหรือ?”

 

 

อ่านบทความฉบับเต็มของการสัมภาษณ์ Anthony Levandowski ได้ที่ Inside The First Church of Artificial Intelligence