เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าที่ทางสนามบินต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเริ่มทดลองใช้นั้นสามารถจับผู้ปลอมตัวได้เพียงสามวันหลังจากที่ทางท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตัน ดัลเลส (Washington Dulles International Airport) เริ่มใช้งาน
จากรายงานของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและการป้องกันพรมแดนสหรัฐอเมริกา (US Customs and Border Protection หรือ CBP) ชายวัย 26 จากรัฐเซาเปาลู (Sao Paulo) ประเทศบราซิล เคยใช้พาสปอร์ตฝรั่งเศสหลอกคนได้สำเร็จมาก่อนหน้านี้ จนกระทั่งเขายื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่สนามบินดัลเลสที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพเปรียบเทียบใบหน้า ระบบตรวจพบว่าใบหน้าของชายผู้นี้ไม่ตรงกับบุคคลในพาสปอร์ต เขาจึงถูกส่งตัวไปตรวจสอบ และพบว่ามีบัตรประชาชนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกซ่อนอยู่ในรองเท้าของเขา
ในขณะที่ผู้สนับสนุนเรื่องความเป็นส่วนตัวกังวลว่า เทคโนโลยีนี้อาจใช้ติดตามคนและอาจทำงานผิดพลาดทำให้ประชาชนที่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นเดือดร้อน ทางเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเองเชื่อว่า เทคโนโลยีนี้จะช่วยเสริมเรื่องความปลอดภัยภายในท่าอากาศยานและยังเร่งขั้นตอนการดำเนินการสำหรับผู้เดินทาง ตามรายงานของ The Star นั้น เทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดเวลาการรอของผู้เดินทางต่างประเทศเป็นเวลา 4 นาที ที่ท่าอากาศยานนานาชาติมิเนต้า ซานโฮเซ (the Mineta San Jose International Airport)
สนามบินดัลเลสได้ทดลองใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยครั้งแรกเมื่อปี 2558 แต่พึ่งเริ่มใช้งานจริงเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นหนึ่งใน 14 สนามบินแรกที่เริ่มใช้การตรวจเปรียบเทียบใบหน้าตอนขาเข้าและขาออก และข้อมูลที่ได้รวบรวมจะช่วยให้เจ้าหน้าที่กำหนดได้ว่าจะใช้เทคโนโลยีนี้อย่างไร เจ้าหน้าที่หวังว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีนี้แทนที่ตั๋วโดยสารและบัตรแสดงตัวตนได้โดยสมบูรณ์เพื่อขั้นตอนด้านความปลอดภัยแบบใหม่ในอนาคต
Casey Durst ผู้อำนวยการของกรมศุลกากรกล่าวในคำแถลงว่า “เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าเป็นก้าวสำคัญสำหรับกรมศุลกากรในการปกป้องสหรัฐอเมริกาจากภัยคุกคามทั้งหลาย ผู้ก่อการร้ายและอาชญากรต่างก็ยังคงมองหาวิธีใหม่ๆ ที่จะเข้าประเทศให้ได้ รวมถึงการขโมยเอกสารฉบับจริงด้วย แต่เทคโนโลยีรู้จำใบหน้านี้จะช่วยกำจัดปัญหาที่มีผู้ใช้เอกสารตัวจริงของผู้อื่นพยายามเข้าประเทศได้อย่างแท้จริง”