Qingnan Xie จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งนานจิง และ Richard Freeman จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ร่วมกันตีพิมพ์รายงานการศึกษาว่าด้วยผลงานวิจัยจากประเทศจีนในช่วงปี 2000 ถึง 2016 ซึ่งเผยให้เห็นว่าจีนนั้นสร้างผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์แซงหน้าสหรัฐอเมริกาแชมป์เก่าไปเสียแล้ว
ในการศึกษาดังกล่าว Xie และ Freeman ได้รวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติในช่วงปี 2000 ถึง 2016 ที่ขึ้นรายชื่ออยู่ในเว็บ Scopus ซึ่งข้อมูลชุดนี้ขี้ให้เห็นถึงผลงานการวิจัยจากประเทศจีนในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าตัวในช่วงเวลาดังกล่าว โดยในปี 2016 จีนได้กลายมาเป็นประเทศที่มีผลงานวิจัยในศาสตร์เหล่านี้มากที่สุดในโลก คิดเป็นราวร้อยละ 23 ของงานวิจัยทั้งหมด
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อรายงานฉบับนี้ได้แสดงความคิดเห็นต่อไปว่าตัวเลขที่เติบโตอย่างรวดเร็วแซงหน้าผลงานจากสหรัฐอเมริกานี้นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานจากจีน ซึ่งไม่ได้นับรวมผลงานจากชาวจีนซึ่งทำงานอยู่ในสถาบันวิชาการนอกประเทศจีน หรือผลงานการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารของจีน ซึ่งผู้เขียนคาดการณ์ว่าหากนับรวมกรณีเช่นนี้ ตัวเลขของผลงานวิจัยจากจีนนั้นจะมีสูงถึง 1 ใน 3 ของผลงานการวิจัยทั่วโลก
และแม้งานวิจัยจากจีนนั้นยังคงมีคุณภาพโดยรวมตามหลังงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา แต่จากการวิเคราะห์ด้วยค่าที่เรียกว่า Field-Weighted Citation Impact (FWCI) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ถูกคำนวณด้วยจำนวนการอ้างอิงจากงานวิจัยอื่นๆ (citation) ก็พบว่า คุณภาพของผลงานวิจัยจากจีนนั้นมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าหากแนวโน้มเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ภายในปี 2025 ผลงานจากจีนจะมีคุณภาพโดยรวมสูงกว่าสหรัฐอเมริกาได้
การแข่งขันการผลิตผลงานทางวิชาการนั้นโดยรวมแล้วย่อมเป็นผลดีต่อวิทยาการของมนุษยชาติและโลกใบนี้ แต่ในขณะเดียวกัน การที่จีนกลายมาเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลมากขึ้นในโลกวิชาการ ก็สร้างความกังวลถึงความเสี่ยงในการแทรกแซงโดยรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นข้อควรกังวลที่มีน้ำหนักอยู่พอสมควรทีเดียว