นักลงทุน AI จีนชี้ สหรัฐเสียเปรียบจีนในสงคราม AI ส่วนหนึ่งก็เพราะรัฐบาล

0

Kai-Fu Lee นักลงทุนชาวจีนผู้ได้รับการนับถือว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในปัญญาประดิษฐ์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์สงคราม AI ระหว่าง 2 มหาอำนาจจีนและสหรัฐอเมริกา พร้อมแนะให้รัฐบาลสหรัฐให้ความช่วยเหลือในการวิจัยปัญญาประดิษฐ์มากกว่านี้

เป็นที่ทราบกันดีว่าจีนและสหรัฐอเมริกานั้นมีความพยายามเอาชนะซึ่งกันและกันในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาอย่างต่อเนื่อง และในช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้ ก็ดูเหมือนว่าผู้คนส่วนใหญ่จะมองว่าจีนกำลังนำอยู่ใน “สงคราม AI” ดังกล่าว

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนนั้นต่างก็พากันเปิดตัวใช้งาน AI ในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆด้วยอัตราที่สูงจนน่าตกใจ ผู้คนหลายล้านคนในประเทศได้สัมผัสกับ AI ในชีวิตประจำวันกันจนแทบจะเป็นปกติ และไม่เพียงเท่านั้น เพราะภาครัฐของจีนเองก็ได้มีการใช้งานและออกมาประกาศถึงนโยบายสนับสนุนซึ่งรวมถึงแผนการลงทุนมูลค่าหลายแสนล้านหยวนเพื่อบ่มเพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นี้ จึงเรียกได้ว่าจีนนั้นมีการรุดหน้าทั้งในส่วนของภาครัฐ เอกชน และประชาชนผู้บริโภคหลายล้านคนที่พร้อมทดลองใช้งาน

แต่ในขณะเดียวกัน หากจะบอกว่าสหรัฐอเมริกากำลังตามอยู่ ก็คงตามไม่ห่างมากนัก เพราะพวกเขาก็มีบริษัทระดับโลกอย่าง Google Amazon Facebook Microsoft และบริษัทอื่นๆอีกมากที่เป็นหัวหอกพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ฉลาดล้ำไม่แพ้ใคร และมีผลงานการวิจัยปัญญาประดิษฐ์ที่โดดเด่นจากทั้งองค์กรเอกชนและแวดวงวิชาการ ทว่าสิ่งหนึ่งที่สหรัฐฯยังคาดตามความคิดเห็นของคุณ Kai-Fu Lee ผู้ทำงานเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ​ 1980 ก็คือการสนับสนุนจากรัฐบาล

Lee ให้ความเห็นว่าการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของสหรัฐนั้นอาจสู้จีนไม่ได้ เพราะสหรัฐไม่มีการลงทุนและให้ความสำคัญกับการวิจัยปัญญาประดิษฐ์พื้นฐานเท่าที่ควร (Fundamental AI – หมายถึงการวิจัยประเด็นที่เป็นแกนหลักของ AI เช่น การสร้าง General Intelligence การพัฒนาอัลกอริทึมใหม่ๆ ซึ่งตรงข้ามกับการวิจัยเพื่อประยุกต์ใช้งาน) ซึ่งส่วนหนึ่งของปัญหาก็คือการที่ผู้ที่มีความสามารถด้าน AI นั้นมักถูกดึงตัวไปทำงานในบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆโดยที่ฝั่งวิชาการไม่มีข้อต่อรองที่จะช่วยรั้งพวกเขาเหล่านั้นได้ ซึ่งบริษัทใหญ่ก็เป็นที่รู้กันดีกว่ามักสนใจการนำ AI ไปใช้ในเชิงพาณิชย์มากกว่าการวิจัยใน Fundamental AI ที่ส่วนใหญ่จะเป็นขอบเขตของนักวิจัยวิชาการ

ในการนี้ Lee ได้เสนอวิธีการแก้ปัญหาสมองไหลดังกล่าวว่า สหรัฐควรมีทุนอุดหนุนเพิ่มรายได้ให้กับอาจารย์และนักวิจัยวิชาการ เพื่อดึงดูดให้ผู้ที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในแวดวงวิชาการให้มากขึ้น และพร้อมกันนี้ สหรัฐก็ควรจัดเตรียมทรัพยากรการประมวลผลขนาดใหญ่ระดับชาติที่พอจะเท่าเทียมกับระบบของบริษัทใหญ่ๆไว้ให้นักวิจัยได้ใช้เพื่อต่อกรกับความท้าทายทางเทคโนโลยีที่เป็นเป้าหมาย

นอกจากนี้แล้ว Lee ยังได้แสดงความกังวลถึงนโยบายการเข้าเมืองของรัฐบาลปัจจุบันที่อาจเข้ามาเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบรรยากาศการเรียนการสอน การวิจัย และวงการวิชาการโดยรวมด้วย ซึ่ง Lee กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าความสามารถในการดึงดูด talent จากทั่วโลกให้เข้ามาเรียนและทำงานในประเทศนั้น เป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่สหรัฐมีเหนือจีน

และดูเหมือนว่าในครั้งนี้นั้นสหรัฐอเมริกาจะพบศึกหนักเข้าจริงๆ เมื่อรัฐบาลจีนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนทุนดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น หรือนโยบายการผลักดันเทคโนโลยีในแบบที่ Lee เรียกว่า “techno-utilitarian” ที่ปล่อยให้ภาคเอกชนได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆโดยพร้อมจะทำลายกำแพงเข้าไปอยู่ในโซนสีเทาเสมอหากเทคโนโลยีเหล่านั้นก่อให้เกิดประโยชน์จริง เราได้เห็นรัฐบาลจีนใช้วิธีนี้กับระบบ payment ของ Tencent และ Alibaba ซึ่งก้าวเข้ามาเป็นวิธีการใช้จ่ายอันดับหนึ่งในประเทศได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งนี่เป็นสไตล์การทำงานของรัฐบาลจีนที่ประเทศใดในโลกก็ยากจะเลียนแบบ

การเติบโตทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดที่ผ่านมานั้นพิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของประเทศจีน และในวันนี้ จีนที่ตระหนักดีถึงพลังแห่งการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนก็พร้อมแล้วที่จะเข้าท้าชิงเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้าน AI

“หลายๆคนใน Silicon Valley คิดว่าถ้าคุณเป็นพวกขี้ลอก ชีวิตคุณก็จะไม่ไปไหน คุณจะไม่สามารถเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ จีนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านั่นไม่จริง ลองคิดถึงกลุ่มคนที่ฉลาดและทำงานหนักภายใต้การนำของผู้นำที่เก่งกาจและทักษะทางธุรกิจที่ดีแต่ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่โชคดีอย่าง Silicon Valley สิ การเป็นคนขี้ลอกแต่แรกน่ะได้กลายมาเป็นการฝึกฝนที่ดีที่สุดไปแล้ว”

“ลองมองว่ามันเป็นพีระมิดดู สำหรับคนขี้ลอกทั้งหมดที่เข้ามาในฐานของพีระมิดนี้ ส่วนใหญ่ก็ไปไม่ถึงไหนหรอกเพราะพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างโพรดักส์ที่ดี แต่ถ้าคุณลองลอกก่อนในขั้นแรก แล้วเรียนรู้จากประสบการณ์และสร้างสตาร์ทอัพแห่งต่อไปให้ดีขึ้น หรือสร้างโพรดักส์ที่ดีขึ้น นั่นนี่เป็นหนทางที่ทรงพลังที่ Silicon Valley ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้”