[รีวิว] ASUS ExpertCenter D300TA เครื่อง Tower PC สำหรับทำงานรุ่นเล็กสุดที่สเป็คไม่เล็กเลย

0

กลับมาอีกครั้งกับการรีวิว Commercial PC จากทีมงาน TechTalkThai กันนะครับ โดยในปี 2021 นี้เครื่องแรกที่เราได้มารีวิวกันก็คือ ASUS ExpertCenter D300TA เครื่อง Commercial PC แบบ Tower ใน Generation ล่าสุดที่เป็นรุ่นเล็กสุดในตระกูล รองรับได้ทั้งการใช้งานเอกสารทั่วไป ไปจนถึงงานกราฟฟิกที่ต้องการสเป็คแรงๆ ด้วยการอัปเกรด Hardware ได้อย่างยืดหยุ่นนั่นเองครับ

ASUS ExpertCenter ตระกูลใหม่ของ Commercial PC จาก ASUS ที่ใช้หน่วยประมวลผล 10th Gen Intel® Core™

ก่อนจะเข้าสู่ตัวรีวิวขออนุญาตเล่าถึงแบรนด์ย่อย ASUS ExpertCenter ที่จะเป็นชื่อสำหรับใช้เรียก Commercial PC ของ ASUS ในรุ่นล่าสุดกันก่อนครับ โดยแบรนด์ย่อยนี้จะมาแทน ASUS ExpertPC และ ASUSPRO ที่เคยใช้มาในอดีตนั่นเอง

ใน ASUS ExpertPC นี้จะมีการแบ่งรุ่นย่อยอีก ได้แก่รุ่น D3, D5, D7 และ D9 ซึ่งจะเรียงตามระดับของประสิทธิภาพสูงสุดจากเล็กไปใหญ่นั่นเองครับ และแต่ละรุ่นย่อยก็จะมี Form Factor หรือการรองรับการอัปเกรดที่แตกต่างกันออกไป โดยทุกรุ่นนี้จะใช้หน่วยประมวลผล 10th Gen Intel® Core™ ทั้งหมด

ASUS ExpertCenter D300TA: Commercial PC ในแบบ Tower รุ่นเล็กสุดในตระกูล ExpertCenter

Credit: ASUS

ASUS นั้นยังคงรักษาสไตล์การออกแบบเครื่อง Commercial PC รุ่นเล็กสุดเอาไว้เช่นเดิม โดย ASUS ExpertCenter D300TA นี้ก็ยังคงมีเอกลักษณ์เช่นเดียวกับรุ่นพี่อย่าง ASUS ExpertPC D3 รุ่นก่อนหน้า คือถึงแม้จะเป็นรุ่นเล็กสุด แต่ก็ยังสามารถอัปเกรด Hardware ให้มีประสิทธิภาพสูง รองรับงานใหญ่ๆ ได้สบายๆ อยู่เช่นเคย ด้วยการรองรับ Hardware ดังนี้

  • CPU: Intel Pentium, Celeron, Core i3/i5/i7 โดยรองรับรุ่นสูงสุดคือ Intel® Core™ i7-10700 Processor 2.9 GHz (16M Cache, up to 4.8 GHz, 8 cores)
  • RAM: DDR4 รองรับสูงสุด 64GB
  • Disk: รองรับสูงสุด 4TB HDD + 1TB SSD
  • GPU: เลือกได้ระหว่าง NVIDIA® GeForce® GT710 2GB DDR5 : 1x DVI, 1x D-SUB, 1x HDMI หรือ NVIDIA® GeForce® GTX1650 4GB DDR6 : 1x DP, 1x DVI, 1x HDMI
  • LAN: RJ45 Gigabit Ethernet
  • WLAN: Wi-Fi 5 (802.11ac) + Bluetooth 5.0/4.2
  • OS: เลือกได้ระหว่าง Windows 10 Pro, Windows 10 Home, Endless หรือไม่ติดตั้ง OS มาเลยก็ได้
  • Power Supply: ประหยัดไฟด้วยมาตรฐาน 80 PLUS Bronze

จะเห็นได้ว่ารุ่นใหม่นี้มีการอัปเกรดสเป็คสูงสุดที่รองรับจากรุ่นก่อนมาพอสมควรทั้งในส่วนของ CPU, RAM, Disk และ GPU ดังนั้นสำหรับหลายๆ ธุรกิจที่ถึงแม้จะมี Workload ที่ต้องใช้งานหลากหลายรูปแบบ แต่ด้วย ASUS ExpertCenter D300TA รุ่นเดียวนี้ ก็สามารถเลือกปรับแต่งสเป็คภายในให้แตกต่างกันเพื่อรองรับงานได้อย่างหลากหลาย

ตัว Mainboard ที่ใช้ภายในรุ่นนี้ ทาง ASUS ก็ออกแบบมาเพื่อให้มีความทนทาน รองรับการใช้งานแบบ 24×7 ได้แม้ว่าจะเป็นรุ่นเล็กสุด อีกทั้งยังมีการใช้ Solid Capacitor ทั้งหมด ทำให้การทำงานของระบบโดยรวมนั้นมีความทนทานเหนือกว่า Mainboard ทั่วไปยิ่งขึ้นไปอีก

ในแง่ของการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องนี้ให้พอร์ตสำหรับใช้งานทั่วๆ ไปมาอย่างครบถ้วน และมีพอร์ตหน้าเครื่องสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวก

Credit: ASUS

การออกแบบภายนอกของตัวเครื่องนี้ก็ยังคงถือว่าคล้ายคลึงกับเดิม คือเน้นความเรียบหรู และใช้สีดำเพื่อให้ดูสุภาพเรียบร้อยเหมาะกับการใช้ทำงาน

เช่นเคย ASUS ExpertCenter D300TA ก็ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐาน MIL-STD  810G สำหรับใช้ในการทหารได้ ซึ่งมาตรฐานนี้ก็มีการทดสอบทั้งการสั่นสะเทือน, การกระแทก, การทนความชื้น, การทนความร้อน และการทนความเย็นอย่างครบถ้วน

ในแง่ของความมั่นคงปลอดภัย ตัวอุปกรณ์มีการรองรับ Trusted Platform Module (TPM) สำหรับจัดเก็บรหัสผ่านและกุญแจเข้ารหัส, มี Kensington Security Slot และ Padlock Slot สำหรับป้องกันการถูกเคลื่อนย้าย รวมถึงยังสามารถควบคุมการเขียนอ่านข้อมูลและการเชื่อมต่อผ่าน USB ได้ด้วยโซลูชันของ ASUS เอง

สำหรับการรับประกัน ตัวเครื่องมาพร้อมกับประกัน Onsite Service 3 ปี, ประกัน Global Warranty ครอบคลุม 83 ประเทศทั่วโลกอีก 3 ปี  และยังมีประกันอุบัติเหตุสำหรับปีแรกที่ใช้งานให้

ราคาเริ่มต้นของรุ่นนี้ที่ติดตั้ง 10th Gen Intel Core i3 จะอยู่ที่ประมาณ 11,000 – 12,000 บาท โดยสามารถปรับแต่งสเป็คได้ตามต้องการ และราคาก็จะขึ้นอยู่กับสเป็คที่เลือกนั่นเอง

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ASUS ExpertCenter D300TA สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/385EKnf

เลือกใช้หน่วยประมวลผล Intel ให้เหมาะสมกับงานและงบประมาณ

ASUS ExpertCenter D300TA นี้เปิดให้เราสามารถเลือกใช้ CPU จาก Intel ได้หลายรุ่นพอสมควร ได้แก่

  • Intel® Core™ i7-10700 Processor 2.9 GHz (16M Cache, up to 4.8 GHz, 8 cores)
  • Intel® Core™ i5-10500 Processor 3.1 GHz (12M Cache, up to 4.5 GHz, 6 cores)
  • Intel® Core™ i5-10400F Processor 2.9 GHz (12M Cache, up to 4.3 GHz, 6 cores)
  • Intel® Core™ i5-10400 Processor 2.9 GHz (12M Cache, up to 4.3 GHz, 6 cores)
  • Intel® Core™ i3-10100 Processor 3.6 GHz (6M Cache, up to 4.3 GHz, 4 cores)
  • Intel® Pentium® G6400 Processor 4.0 GHz (4M Cache, up to 4.0 GHz, 2 cores)
  • Intel® Celeron® G5900 Processor 3.4 GHz (2M Cache, up to 3.4 GHz, 2 cores)

ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว Intel Core i3-10100 นี้ก็ถือว่าประสิทธิภาพดีมากเพียงพอสำหรับการใช้ทำงานทั่วๆ ไปแล้ว แต่หากต้องการพลังประมวลผลที่ประสิทธิภาพสูงขึ้นสำหรับรองรับการใช้ Application เฉพาะทาง ก็อาจพิจารณารใช้ Intel Core i5 หรือ i7 แทน ในขณะที่ถ้าหากต้องการเน้นเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย และไม่ได้ใช้เครื่องทำอะไรมากไปกว่าการทำเอกสารเล็กน้อยหรือใช้บริการ Cloud ทั่วๆ ไป ก็อาจพิจารณาใช้ Intel Celeron หรือ Intel Pentium แทนได้ครับ

แกะกล่อง ลองใช้งานของจริง

จบการแนะนำเทคโนโลยีเบื้องต้นไปแล้ว ก็ได้เวลาแกะกล่องใช้งานจริงกันดู ซึ่งตัวเครื่องถึงแม้ว่าจะใช้เคส Tower ใหญ่ขนาด 20 ลิตร แต่น้ำหนักก็ถือว่าไม่หนักมาก ด้วยน้ำหนักรวมประมาณ 7 กิโลกรัม เรียกได้ว่าก็พอยกติดตั้งคนเดียวไหวได้สบายๆ

สัมผัสแรกที่พบได้เลยก็คือถึงแม้ตัวเครื่องจะมี Texture ที่มองด้วยตาแล้วคล้ายๆ รุ่นก่อนหน้า แต่พอสัมผัสด้วยมือแล้วจะพบว่างานละเอียดกว่าเดิมมาก ดูแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าก็สวยกว่าเดิมขึ้นมาพอสมควรครับ

ตัวด้านหลังเครื่องเองก็ยังมาพร้อมกับพอร์ตสำหรับต่อ External Wi-Fi Antenna เหมือนเดิม ตรงนี้ก็ถือว่าสะดวกดี เพราะสามารถเลือกติดตั้งเสาสัญญาณในจุดที่ต้องการได้ด้วยตนเอง ส่วนการเปิดฝาเครื่องมาจัดการกับ Hardware ข้างในนั้นสามารถใช้ไขควงมาตรฐานขันเข้าไปได้เลย ไม่ได้เป็นแบบ Tool-less Design อย่างรุ่นที่สูงกว่า

จุดที่รู้สึกว่าเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่ดีคือการที่ยังคงมีพอร์ต COM และ Parallel ให้ใช้งาน ดังนั้นสำหรับธุรกิจที่ยังคงมีอุปกรณ์เก่าๆ ซึ่งต้องอาศัยพอร์ตเหล่านี้ในการเชื่อมต่อก็สามารถใช้งานได้เลย โดยไม่ต้องหาหัวแปลงกันอีก แต่ Windows 10 จะรองรับอุปกรณ์พวกนี้ได้มั้ยก็เป็นอีกโจทย์ที่ต้องไปจัดการกันอยู่ครับ

สเป็คของเครื่องที่ได้มาทดสอบในครั้งนี้มีดังนี้

  • CPU: Intel Core i3-10100 @ 3.6GHz (4 Cores/8 Threads)
  • RAM: 4GB
  • Disk: 256GB SSD + 500GB HDD
  • GPU: NVIDIA GeForce GT710 2GB DDR5

เรียกได้ว่าเป็นการทดสอบการใช้ RAM ในขนาดที่เล็กที่สุด แต่ใส่ SSD เพื่อเร่งความเร็วก็ว่าได้ ซึ่งก็ถือว่าน่าสนใจครับว่าด้วยสเป็คแบบนี้ จะใช้ทำงานจริงกันได้หรือเปล่า คราวนี้ก็ได้เวลาลองเปิดเครื่องใช้งานจริงกันแล้วครับ ขอรีวิวประสบการณ์การใช้งานจริงดังนี้ครับ

  • ตอนบูทเครื่องถือว่าทำได้ค่อนข้างเร็ว ด้วยพลังจาก SSD
  • ตัวเครื่องพร้อมใช้งานได้เลยด้วย Driver ที่ติดตั้งมาให้ครบถ้วนหมดแล้ว
  • พอ Windows 10 รันสิ่งต่างๆ ตอน Start เสร็จหมดแล้ว ก็พบว่าตัวเครื่องก็ถือว่าเร็วดีถ้าไม่ได้เปิดหลายแอปพร้อมๆ กันมากนัก ตอนไม่เปิดแอปอะไรเลยใช้ RAM อยู่ที่ 2.3GB ก็เรียกได้ว่ายังพอมี RAM เหลือให้ใช้ทำงานอย่างอื่นได้อยู่ เปิด Browser หรือ Microsoft Office ทำงานได้สบายๆ
  • สำหรับการทดสอบดูคลิป 1060p ก็ถือว่าทำได้สบายๆ ดูคลิปได้ลื่นดี ถ้าเปิด Task Manager มาดูประสิทธิภาพแล้วจะเห็นว่า CPU ใช้เพียง 4% และใช้ GPU เพียง 5% เท่านั้น ส่วน RAM ก็ขึ้นไม่เยอะ
  • ในการลองใช้งานจริงไปเรื่อยๆ นั้นก็พบว่าด้วยสเป็คที่ใช้ทดสอบนี้ ถ้าไม่ได้ใช้งานอะไรมากแค่เช็คเมล์ พิมพ์เอกสาร เชื่อมต่อ Printer ก็ถือว่าเหลือเฟือครับ แต่ถ้าหากมีบางจังหวะที่ต้องใช้งานหนักๆ หน่อยเช่นเปิด Browser ที่กิน RAM มากๆ หรือมี Windows Update หรืองานอื่นๆ ที่ต้องใช้ RAM เยอะหน่อย จะมีคอขวดที่ RAM ทันที ดังนั้นก็แนะนำว่าถ้าไม่อยากให้เครื่องหน่วงมากนักในจังหวะนี้ อัปเกรด RAM เป็นซัก 8GB ก็จะอุ่นใจกว่าครับ แต่ถ้าไม่ซีเรียส RAM 4GB ก็ถือว่ายังใช้ทำงานได้ครับ ส่วน CPU ตัวนี้ไม่เป็นประเด็นเลย ถ้าไม่ทำ Load Test ลงไปเองก็ไม่มีปัญหาเลยครับ
  • GPU ได้ใช้เฉพาะตอนที่ดูคลิปหรือแสดงผลอะไรบ้างเท่านั้น ดังนั้นจริงๆ ถ้าไม่ได้ต้องใช้การดูคลิปก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ครับ
  • ตัวเครื่องทำงานค่อนข้างเงียบทีเดียว ก็เหมือนกับเครื่องรุ่นพี่ก่อนหน้าที่เคยทดสอบของ ASUS ครับ
  • พอร์ตด้านหน้าที่ให้มาถือว่าพอต่อการใช้งาน แต่ขาด USB-C ไปทำให้ต้องใช้สายแปลงหรือหัวแปลงอยู่บ้างครับ
  • ตัวเครื่องด้านในเปิดมาดูแล้วก็ถือว่าจัดสายได้เข้าใจง่าย ถ้าต้องอัปเกรดอะไรเองเพิ่มก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ

สำหรับผมโดยรวมแล้วถือว่า ASUS ExpertCenter D300TA นี้เป็นเครื่องระดับ Entry Level ที่พร้อมจะอัปเกรดให้รองรับงานใหญ่ๆ ภายในออฟฟิศได้สบายๆ ถ้าไม่นับงานการทำ AI Inference หรืองานตัดต่อวิดีโอหนักๆ ก็เรียกได้ว่าถ้าธุรกิจองค์กรไหนกำลังถึงช่วงที่ต้องจัดซื้อเครื่อง PC ใหม่มาทดแทนของเก่าตามรอบอายุการใช้งาน ASUS ExpertCenter D300TA ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าลองขอราคาไปพิจารณาจัดซื้อดูครับ

สรุปข้อดีข้อเสีย

ข้อดี
  • เครื่องดูสวยงามดี สุภาพเรียบร้อยเหมาะกับการใช้ทำงาน เครื่องใหญ่แต่ไม่หนัก วางที่พื้นหรือบนโต๊ะก็ได้
  • พัดลมเสียงเงียบ ใช้ในออฟฟิศได้ไม่รบกวน
  • ใส่ SSD เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้ทำงานได้ แม้ RAM จะไม่สูงมากนักก็ยังทำงานได้เร็วอยู่
  • ลง Windows 10, Driver และ Microsoft Office มาให้ครบแล้ว ใส่ License ของ Office แล้วใช้ทำงานได้เลย
  • มีพอร์ตเก่าๆ มาให้ครบ ใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์รุ่นเก่าที่เคยใช้งานอยู่ได้
ข้อเสีย
  • เครื่องใหญ่ไปหน่อย แต่ก็เป็นขนาดมาตรฐานของเครื่อง Tower
  • ไม่มีพอร์ต USB-C แต่ก็ใช้สายหรือหัวแปลงเอาได้
  • RAM 4GB เล็กไปหน่อย แนะนำให้อัปเกรดเป็น 8GB จะใช้กับ Windows 10 ได้วางใจขึ้น

ติดต่อทีมงาน ASUS ประเทศไทย

สำหรับผู้ที่สนใจสินค้าของ ASUS และต้องการข้อมูลรายละเอียดต่างๆ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.asus.com/th/business/