เมื่อพูดถึงคำว่า Blockchain (บล็อกเชน) นั้น คนส่วนมากจะนึกถึงสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ซึ่งในความเป็นจริงนั้น Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้การแลกเปลี่ยนของที่มีมูลค่าเป็นไปได้ง่ายขึ้น
ในอดีตนั้น ถ้าเราจะแลกเปลี่ยนของที่มีมูลค่านั้นต้องมีตัวกลาง ไม่ว่าจะเป็นแบงก์ สถาบันการเงินที่จะมาทำหน้าที่ให้เรามั่นใจว่า หมายเลขบัตรเครดิตของเราจะปลอดภัยเมื่อทำธุรกรรมทางการเงินนั้น
แต่ Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาเพื่อตัดตัวกลางออก ทำให้เราสามารถแลกเปลี่ยนของที่มีมูลค่ากับอีกฝ่ายหนึ่งได้โดยตรง ทำให้คนเข้าถึงสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต และทำให้คนทั่วไปเข้าถึง Cryptocurrency ได้ง่ายขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ดังนั้น หลายคนจึงแยกความแตกต่างของ Blockchain และ Cryptocurrency ออกจากกันไม่ได้
แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติของ Blockchain จริง ๆ นั้น พบว่า Blockchain จะเป็นอนาคตของธุรกิจเกือบทุกประเภทในโลก โดยเฉพาะธุรกิจทางการเงินที่จะเห็นได้ชัดที่สุดในเวลานี้ เพราะเมื่อเราใช้ Blockchain เราก็จะมั่นใจได้ว่า ทุกธุรกรรมที่เราทำผ่าน Blockchain นั้น จะปลอดภัย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่มีใครสามารถกลับมาแก้ไขมันได้
จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมผู้เชี่ยวชาญทางการเงินถึงได้มองว่า Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่จะ disrupt ตลาดการเงินที่สำคัญ และจะเป็น Fintech ที่สำคัญอันดับต้น ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน
กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคนในเวลานี้ คือ เมื่อใช้แอปเป๋าตังของรัฐบาล ในนั้นจะมีเมนูวอลเล็ตสบม. ซึ่งเป็นเมนูการซื้อพันธบัตรที่บริษัทบล็อคฟินท์ร่วมกับทีมเทคนิคตอนต้น ทำพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่น วอลเล็ต สบม.(สะสมบอนด์มั่งคั่ง) หรือ พันธบัตรดิจิทัลครั้งแรกของเมืองไทยโดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ร่วมด้วย
ด้วยเมนูดังกล่าว ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการซื้อพันธบัตรได้ง่ายขึ้น ไม่มีการกำหนดจำนวนซื้อขั้นต่ำ หรือช่วงเวลาในการซื้อ ซึ่งในอดีตจะไม่สามารถซื้อพันธบัตรแบบไร้ข้อจำกัดแบบนี้ เนื่องจากใน 1 ธุรกรรมของการซื้อพันธบัตรนั้นมีต้นทุนที่สูงกว่า 1 บาท ทำให้การซื้อพันธบัตรต้องมีกำหนดจำนวนขั้นต่ำไว้ แต่ในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติของ Blockchain ร่วมกับการพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัท บล็อคฟินท์ ทำให้ธุรกรรมทางการเงินที่เคยเป็นไปไม่ได้ในอดีตสามารถเป็นไปได้ในปัจจุบัน
ในอนาคตอันใกล้นี้ Blockchain จะพัฒนาระบบสถาบันการเงินการธนาคารและธุรกิจที่เกี่ยวข้องให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากโซลูชันที่บริษัทบล็อคฟินท์นำเสนอในขณะนี้ ในรูปแบบของ Thinker series เพื่อมาเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการภายในของธนาคาร (Thinker Bank) พันธบัตร (Thinker Bond) การออกแบบและพิจารณาสินเชื่อ (Thinker LOS) การออกแบบและพิจารณาประกันภัยและประกันชีวิต (Thinker Insurance) และ Thinker Wise ผู้ช่วยในการตัดสินใจแบบอัตโนมัติ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ต้นทุนทางธุรกรรมทางการเงินและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีอัตราที่ถูกลง โดยจะสามารถทำธุรกรรมหลาย ๆ ประเภทผ่านระบบดิจิทัลได้และรวดเร็วขึ้นกว่าระบบปัจจุบัน รวมถึงเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ท้ายที่สุด เราอาจจะไม่ต้องการตัวกลางที่เป็นสถาบันการเงิน หรือตัวแทนอีกต่อไป จำนวนสาขาของธนาคารและบริษัทต่าง ๆ จะลดลงและเปลี่ยนรูปแบบเป็นระบบดิจิทัลมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจากบริษัท บล็อคฟินท์ จำกัด
เกี่ยวกับบริษัท บล็อคฟินท์ จำกัด
บล็อคฟินท์ (BlockFint) ฟินเทคสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2563 เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างบล็อกเชคและฟินเทค มาใช้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสร้างโซลูชั่นใหม่ ๆ สำหรับตลาดการเงินการธนาคารและอุตสาหกรรมพลังงาน สู่การเป็นระบบดิจิทัลอย่างแท้จริง โดยมีสินค้าต่าง ๆ ได้แก่ Thinker Series โซลูชั่นที่ช่วยในปฏิวัติระบบปฏิบัติการให้กับสถาบันการเงิน, Gideon แพลทฟอร์มสำหรับซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) โดยที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีผลงานในการเป็นผู้ออกแบบการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID – NDID) ที่นิยมใช้กันในแวดวงการเงินการธนาคาร อีกทั้งยังร่วมกับทีมเทคนิคตอนต้น ทำพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่น วอลเล็ต สบม.(สะสมบอนด์มั่งคั่ง) หรือ พันธบัตรดิจิทัลครั้งแรกของเมืองไทยโดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ร่วมด้วย ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่า (Company Valuation) อยู่ที่ 800 ล้านบาท โดยสามารถระดมทุนครั้งแรก (Angle round) ได้ถึง 36 ล้านบาท