ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี (SME) นับเป็นธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิก อาทิ เพิ่มอัตราการจ้างงานจำนวนมาก เร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ กระตุ้นให้เกิดการบริโภคสูงขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรม
ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ประจำปี พ.ศ. 2562 ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2561 มีเอสเอ็มอีประมาณ 3 ล้านบริษัท ซึ่งคิดเป็น 86% ของการจ้างงานในประเทศไทย และคิดเป็น 45% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี (GDP) อย่างไรก็ตามพบว่า ตัวเลขการเติบโตของจีดีพีจากภาคเอสเอ็มอีปรับลดลงเหลือ 35% ในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2564 จากข้อมูลของ สสว. ซึ่งรายงานภาพรวมของเศรษฐกิจไทยและกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19
อุตสาหกรรมการผลิตในกลุ่มเอสเอ็มอีทั่วประเทศไทยจำเป็นต้องก้าวข้ามการทำธุรกิจรูปแบบเดิม ๆ และต้องเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในปัจจุบัน โดยดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ทำให้พวกเขามีส่วนร่วมในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ล้ำหน้าและยกระดับบริการเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สร้างแหล่งมูลค่าใหม่ ๆ และท้ายที่สุดคือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันพร้อมความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจทั้งตลาดในระดับประเทศและในระดับโลก
โดย Dassault Systèmes ขอเสนอมุมมองเกี่ยวกับความท้าทายในการรับมือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นของผู้ประกอบการโรงงานเอสเอ็มอี และข้อเสนอแนะในการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ความคล่องตัว และความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น
เอสเอ็มอีจะรับมือความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงเร็วโดยเฉพาะด้านการขอปรับงานดีไซน์ได้อย่างไร?
เมื่อความต้องการลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอด และคาดหวังการตอบสนองที่รวดเร็ว นั่นคือเหตุผลที่การทำงานเป็นทีมจึงมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน และระบบงานวิศวกรรมช่วยให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้ผ่านแพลตฟอร์มหนึ่งเดียวกันซึ่งช่วยขจัดปัญหาการทำงานแบบไซโลได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อคำนึงถึงความท้าทายดังกล่าว เอสเอ็มอีจำเป็นต้องมองหาแพลตฟอร์มเพื่อให้พนักงานทำงานร่วมกันผ่านฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ โดยใช้แพลตฟอร์มเดียวที่เปิดโอกาสให้ทีมงานทุกคนสามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกันได้ ยกระดับธุรกิจและทีมงานให้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ รวมทั้งคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น ผู้ออกแบบแม่พิมพ์จะสามารถใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การจำลองการฉีดพลาสติกในสภาพแวดล้อมเดียว และทำงานในแบบจำลองเดียว เอสเอ็มอียังสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติขั้นสูงเพิ่มเติม เช่น การออกแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลามากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความมั่นใจในการปกป้องข้อมูล โดยกำหนดผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบกลุ่มหรือรายบุคคล
ฝ่ายผลิตสามารถจัดการกับแบบที่มีการแก้ไขและรับมือกับตัวแปรอื่น ๆ ได้อย่างไร?
การถอดองค์ความรู้แบบเฉพาะเจาะจง (Capturing knowledge)เป็นสิ่งสำคัญหากต้องการเพิ่มความเร็วในการทำโปรเจกต์หรือเตรียมการปรับแต่ง โดยสามารถนำเข้าข้อมูลจากโครงการที่ผ่านมา เช่น ชนิดของอุปกรณ์เสริม การกำหนดค่า หรือรหัสเครื่อง NCที่ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน สำหรับการเปลี่ยนแปลงการออกแบบ เนื่องจากทีมงานทั้งหมดทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลตัวเดียวกัน ข้อมูลจะถูกส่งต่อจากทีมงานออกแบบไปสู่ทีมงานการผลิตอย่างราบรื่น ซึ่งฝ่ายผลิตจะได้รับการแจ้งเตือน และสามารถอัปเดตตามโมเดลที่ได้รับการอัปเดตได้อย่างง่ายดาย ด้วยชุดแอปพลิเคชันที่ทำงานสอดประสานกันเพื่อกำหนดรูปแบบการใช้งานของเครื่องมือ จำลองการนำวัสดุออก และการเคลื่อนไหวของเครื่องจักร โดยเอสเอ็มอีไม่ต้องจัดการกับความซับซ้อนของการใช้เครื่องมือและรูปแบบข้อมูลที่หลากหลายเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการปฏิบัติงาน
ฝ่ายผลิตควรดำเนินการอย่างไรเพื่อลดความซับซ้อนในการใช้งานหุ่นยนต์ในกระบวนการผลิต?
ด้วยแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน เอสเอ็มอีสามารถเขียนโปรแกรมและจำลองหุ่นยนต์เพื่อใช้งานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยสามารถเข้าถึงแคตตาล็อกหุ่นยนต์จำนวนมากหรือสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่กำหนดค่าต่าง ๆ เองได้ โซลูชันการเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์จะช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถจำลองและตรวจสอบการทำงานของหุ่นยนต์ รวมทั้งดำเนินการตั้งโปรแกรมออฟไลน์ได้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหุ่นยนต์ได้

หากต้องการซื้อหุ่นยนต์และเครื่องจักรเพิ่มเติม จะสามารถประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนล่วงหน้าได้อย่างไร?
เอสเอ็มอีสามารถใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมเสมือนจริงเพื่อจัดวางและจำลองสภาพแวดล้อมการผลิต แบบ 3 มิติ รวมทั้งเลือกแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับใช้ในการผลิตได้ ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์ล่วงหน้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์อีกต่อไป สามารถสร้างแบบจำลองของพื้นที่โรงงาน รวมถึง Automated Guided Vehicles (AGV)ให้เหมาะสมกับขนาดการผลิต ทั้งแบบเดี่ยวหรือทั้งโรงงานได้ โดยการจำลองโลกเสมือนจริง (virtual twin simulation)จะช่วยให้ เอสเอ็มอีตั้งค่าได้เหมาะสมที่สุดจนถึงพิจารณารายละเอียดที่ซับซ้อนได้ นอกจากนี้ยังสามารถวางแผนได้ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ลดรอบเวลา ระบุปัญหาคอขวด หรือเข้าใจการใช้ทรัพยากรได้ดีขึ้น พร้อม ๆ กับการปรับปรุงการทำงานของระบบหุ่นยนต์
จะปรับปรุงและจัดการกับการผลิตหน้างานให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร?
เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน เอสเอ็มอีต้องปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานใหม่ โดยโซลูชัน Manufacturing Operations Management (MOM) จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดลงในแท็บเล็ต ทำให้เอสเอ็มอีมองเห็นและบริหารจัดการหน้างานได้แบบเรียลไทม์ ด้วยระบบดังกล่าว เอสเอ็มอีจะทราบถึงข้อมูลสำคัญ ๆ อาทิ สถานะเครื่องจักร ความคืบหน้าใบสั่งงาน การใช้ทรัพยากร ตัวชี้วัด เช่น ประสิทธิภาพอุปกรณ์โดยรวม (OEE) และข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบและการตัดสินใจ ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์นี้ เอสเอ็มอีจะสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวและรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปัญหาด้านคุณภาพหน้างานมักเกิดขึ้นเป็นประจำ จะสามารถปรับปรุงคุณภาพผลผลิตได้อย่างไร?
ความสามารถในการจัดการคุณภาพถูกรวมเข้ากับโซลูชัน MOM โดยเอสเอ็มอีสามารถตรวจสอบแดชบอร์ดสรุปข้อมูลโดยรวมของผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบการใช้งาน เช่น ระบุว่าผลิตภัณฑ์ใดผ่านเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ผ่าน ผู้ตรวจสอบคุณภาพสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และทำการวัดผลบนระบบนี้โดยไม่ต้องใช้กระดาษ หากมีปัญหา ผู้จัดการฝ่ายประกันคุณภาพ (QA) สามารถสร้างรายงานสำหรับปัญหานั้นๆ เพื่อติดตามผล รวมทั้งศึกษารูปแบบ วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาได้จากรายงานดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถจัดเรียงการแจ้งเตือนที่มีรหัสข้อบกพร่องตามระดับความสำคัญได้ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ในเวลาที่เหมาะสมและเป็นระบบ
สำหรับการตรวจสอบด้วยสายตา รูปแบบการจำลองโลกเสมือนจริงสามารถช่วยให้การตรวจสอบข้อบกพร่องที่พบได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและใช้บทวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อพัฒนาและปรับปรุงต่อไป การควบคุมกระบวนการผลิตด้วยหลักสถิติ (SPC) ยังสามารถนำมาใช้เพื่อติดตามผลิตภัณฑ์และตรวจสอบคุณภาพในกระบวนการ ช่วยให้เอสเอ็มอีตรวจเช็คกระบวนการย้อนหลัง พร้อมตรวจสอบว่ากระบวนการเหล่านี้มีความเสถียรหรือไม่ และยังสามารถช่วยระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการผลิต

หลักสำคัญอย่างนึงตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย “Thailand 4.0” คือความพยายามส่งเสริมการนำนวัตกรรมดิจิทัล ออโตเมชัน และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ไปใช้ในภาคเอสเอ็มอี ประกอบกับรายงาน “ASEAN SME Transformation Study 2020” จัดทำโดย UOB, Accenture และ Dun & Bradstreet พบว่า เกือบสามในสี่ (71%) ของเอสเอ็มอีในประเทศไทยจัดอันดับให้การลงทุนด้านเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้วยโซลูชั่นเหล่านี้ เอสเอ็มอีสามารถแปลงกระบวนการผลิตทั้งหมดของพวกเขาให้เป็นดิจิทัลตั้งแต่การออกแบบจนเข้าสู่ขั้นตอนการผลิต นำความเป็นเลิศด้านการผลิตไปสู่อีกระดับ ก้าวสู่การเป็นโรงงานแห่งอนาคต