ในโลกที่อินเทอร์เน็ตและข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น การสื่อสารล้วนแล้ว แต่เริ่มต้นผ่านสายไฟเบอร์ออฟติกและสายไฟที่เป็นเหมือนเส้นเลือดของดาต้าเซ็นเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่คอยเชื่อมต่อระบบต่างๆของธุรกิจ ข้อมูล และแม้แต่ข้อความสนทนาในชีวิตประจำวันอย่างเงียบเชียบ
ทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณ Erkan Aydoğdu ประธานกรรมการบริหาร Prysmian Group ในภูมิภาคโอเชียเนียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้มาแบ่งปันเรื่องราวของผู้ผลิตสายเคเบิลที่เชื่อมต่อทั้งโลกเข้าด้วยกัน ว่าในมุมมองของ Prysmian Group ผู้ผลิตและให้บริการโซลูชันสายไฟฟ้า สายสื่อสารครบวงจรที่มีประวัติยาวนานกว่า 140 ปีแล้วนั้น บทบาทสายไฟเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในยุคดิจิทัลและยุคที่โลกต้องรับมือกับวิกฤตพลังงานและภาวะโลกร้อนที่กำลังคืบคลานเข้ามา
รู้จักกับ Prysmian Group ผู้ผลิตสายไฟชั้นนำของโลก
Prysmian Group คือกลุ่มบริษัทผู้ผลิตสายไฟชั้นนำของโลกที่มีประวัติยาวนานมากว่า 140 ปี จากการก่อตั้งครั้งแรก ณ ประเทศอิตาลีในปี 1879 ปัจจุบัน Prysmian Group มีโรงงานมากกว่า 100 แห่ง และสถาบันวิจัย 25 แห่งทั่วโลก โดยมียอดขายสายไฟมากกว่า 1หมื่นล้านยูโร (380,000 ล้านบาท) ต่อปี
Prysmian Group เริ่มต้นเส้นทางของพวกเขาด้วยการเป็นผู้ผลิตสายโทรเลขสำหรับเรือดำน้ำของประเทศอิตาลี ก่อนจะค่อยๆขยับขยายมาผลิตสายไฟสำหรับระบบไฟฟ้า ระบบการสื่อสาร ระบบผลิตพลังงาน ระบบโทรคมนาคม รวมไปถึงระบบอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน Prysmian Group มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนามากกว่า 100 ล้านยูโร (ประมาณ 3,700 ล้านบาท) ในแต่ละปี ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนานวัตกรรมออกมาได้อย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทที่สำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานและโทรคมนาคมทั่วโลก
แน่นอนว่าสายไฟนั้นก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรม Data Center และอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน และยิ่งทวีความสำคัญขึ้นเมื่อทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตพลังงานและมุ่งหน้าสู่การพัฒนาธุรกิจไปในทิศทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและ Sustainability เพื่อร่วมต่อสู้กับ Climate Change ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้
สายไฟในยุคใหม่ต้องตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายและใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
การเติบโตขึ้นของธุรกิจ Data Center รวมไปถึงธุรกิจโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตนั้นก่อให้เกิดความต้องการสายไฟที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น คุณ Erkan เล่าว่า Prysmian Group นั้นมีการทำงานร่วมกับธุรกิจ Data Center และโทรคมนาคมมาตั้งแต่ยุคแรกๆ โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อตอบโจทย์ของการสื่อสารและรับส่งข้อมูล เช่น สายMassLink 6912 ซึ่งใช้เทคโนโลยี FlexRibbon ทำให้สายไฟเบอร์ออฟติกมี Fibre Density ที่สูงที่สุดในโลก ยืดหยุ่นต่อการบิดงอ ใช้พื้นที่น้อย และทนทานต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยในปัจจุบันสายไฟในตระกูล FlexRibbon นี้มีการใช้งานใน Data Center ขนาดใหญ่ของผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์เจ้าใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก
สายรุ่น 6912 MassLink มี Fibre Density ที่ 5.5 ไฟเบออร์ต่อตารางมิลลิเมตร และมีจำนวนไฟเบอร์ที่ 1728 ไฟเบอร์โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 2.49 เซนติเมตร
กลุ่มผลิตภัณฑ์สายไฟเบอร์ออฟติกของ Prysmian Group นั้นมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ดาต้าเซ็นเตอร์ในหลายรูปแบบที่ธุรกิจสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่, Multi-tenant Data Center, Data Center ส่วนตัวขององค์กร, หรือแม้กระทั่ง Data Center ของผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะ
Prysmian Group มองเห็นถึงความต้องการใช้งานที่หลากหลายและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาจะสามารถสนับสนุนความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโรงงานผลิตสายไฟที่มีมากกว่า 100 แห่งทั่วโลกซึ่งช่วยให้สามารถผลิตและกระจายสินค้าสู่ธุรกิจในแต่ละประเทศได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว นับเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งที่ Prysmian Group มีในด้านของการให้บริการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในโลกหลังวิกฤตโรคระบาดที่เราได้เห็นกันแล้วว่า Supply Chain ทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โลกหลังโควิดคือโลกที่ต้องเชื่อมต่อมากขึ้นกว่าที่เคย
เพราะธุรกิจทุกประเภทต้องการพลังงานไฟฟ้า และความมั่นคงของระบบนั้นจำเป็นมากสำหรับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์และโทรคมนาคม สายไฟจึงเป็นส่วนประกอบที่ธุรกิจจะมองข้ามไม่ได้ วิกฤตการณ์โควิดแสดงให้โลกเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล ธุรกิจหลายรายต้องการเปลี่ยนระบบให้เข้าสู่การทำงานแบบดิจิทัลมากขึ้น และธุรกิจหลายรายเล็งเห็นถึงการทำงานรูปแบบใหม่ที่จะเข้ามาลดการสัมผัสใกล้ชิด เช่น โรงงานที่ต้องการควบคุมเครื่องจักรจากภายนอกผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการสร้างระบบตรวจสอบสถานะการดำเนินงานผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งระบบเหล่านี้ล้วนแต่มีสายไฟฟ้า สายสื่อสารเป็นกลไกทั้งสิ้น
คุณ Erkan เล่าว่าจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของ Prysmian Group คือการเป็นผู้ผลิตสายไฟที่มีโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจประเภทต่างๆ ซึ่งรวมถึงธุรกิจอินเทอร์เน็ตและดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย พวกเขามีโซลูชันสำหรับสายไฟทองแดงและไฟเบอร์ออฟติก โซลูชันตู้ Rack สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และโซลูชันสำหรับการเชื่อมต่อสื่อสารข้อมูลที่รองรับ Bandwidth ปริมาณมาก เมื่อทำงานร่วมกับธุรกิจจึงสามารถให้บริการได้อย่างรวดเร็วเต็มระบบ และรองรับการดูแลรักษาระบบในระยะยาว
ในช่วงที่ผ่านมา Prysmian ได้ทำงานร่วมกับธุรกิจหลายรายทั่วโลกในการปรับปรุงระบบสายไฟให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งในด้านของความปลอดภัย การประหยัดพลังงาน ความเร็วในการสื่อสารข้อมูล และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เป้าหมายต่อไปของโลกคือ Sustainability
Prysmian Group นั้นทำงานใกล้ชิดกับธุรกิจพลังงานและโทรคมนาคม จึงมีความตื่นตัวเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันขึ้นเพื่อตอบโจทย์ Sustainability โดยคุณ Erkan ได้เล่าถึงเป้าหมายของ Prysmian Group ที่กำลังมุ่งหน้าสู่การลดปล่อยคาร์บอนให้เข้าสู่ระดับ Net Zero ในปี 2035 และเดินหน้าต่อเนื่องในการช่วยให้ธุรกิจคู่ค้าและ Supply Chain ของพวกเขาอยู่ในระดับ Net Zero เช่นกันภายในปี 2050 เป้าหมายนี้ได้เข้ามาเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาสายไฟและโซลูชันของพวกเขามาสักพักหนึ่งแล้ว Prysmian Group จึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถสนับสนุนธุรกิจให้ดำเนินการในแนวทาง Sustainability ได้เป็นอย่างดี
ดาต้าเซ็นเตอร์นั้นเป็นธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อโลกปัจจุบัน แต่ก็เป็นธุรกิจที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำ และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับต้นๆของโลกเช่นกัน ดังนั้นธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์และธุรกิจที่มีดาต้าเซ็นเตอร์เป็นของตัวเองจะต้องเร่งลดการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ หรือใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด
โดยกลยุทธ์ในการดำเนินการ Data Center ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน คุณ Erkan กล่าวว่าอาจมีได้หลายวิธี เช่น
- การออกแบบและวางระบบต่างๆ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบการสื่อสาร และระบบทำความเย็นให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
- การเลือกใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นระบบสายไฟฟ้า ระบบสายสื่อสาร UPS ชิปประมวลผล หรืออื่นๆ
- การสร้างระบบที่คอย Monitor การใช้พลังงานและการปล่อยของเสียของดาต้าเซ็นเตอร์อย่างละเอียดแบบ Real-time ที่สามารถตรวจสอบและทำนายอัตราการใช้พลังงานได้ เพื่อวางแผนการใช้พลังงานและปรับปรุงส่วนที่สิ้นเปลืองพลังงาน
โดยสิ่งเหล่านี้เป็นเทรนด์ด้าน Sustainability ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกจากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่และบริษัทเทคโนโลยีที่มีดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่เช่น Meta (Facebook)
Prysmian Group ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับในประเทศไทยเอง คุณ Erkan เล่าว่าทาง Prysmian Group นั้นมีโปรเจคร่วมกับองค์กรหลายประเภท ทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยมีตั้งแต่ธุรกิจโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ต และดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังเติบโตอย่างมาก ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานด้านการขนส่งสาธารณะ
คุณ Erkan เชื่อว่าการร่วมงานกับ Prysmian นั้นจะช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินการไปได้เป็นอย่างมาก เนื่องจาก Prysmian มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกธุรกิจ อีกทั้งยังให้บริการโซลูชันสายไฟแบบครบวงจร เมื่อร่วมงานกับ Prysmian Group แล้วสามารถพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังรองรับการร่วมออกแบบและดูแลระบบด้วยประสบการณ์ของ Prysmian ที่เคยร่วมงานกับธุรกิจและหน่วยงานของรัฐมาแล้วทั่วโลก
ในทำนองเดียวกัน ในภูมิภาคเอเชียนั้น Prysmian Group ก็มีโปรเจคร่วมกับธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะโปรเจคเกี่ยวกับดาต้าเซ็นเตอร์ที่พวกเขามีส่วนร่วมในการออกแบบและให้บริการในประเทศสิงคโปร์ เวียดนาม และจีน
Prysmian Group พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ในยุค Digital Transformation
ก่อนจากกัน คุณ Erkan ทิ้งท้ายว่าสำหรับ Prysmian Group แล้วก็จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันอย่างต่อเนื่องแน่นอน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ของธุรกิจในยุคดิจิทัลได้ดีที่สุด ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนา 25 แห่งทั่วโลกและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะพัฒนาเทคโนโลยีสายไฟใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตรงตามความต้องการของธุรกิจมากขึ้น และที่สำคัญคือการตอบโจทย์ด้าน Sustainability มากขึ้น เพื่อร่วมหยุดยั้งภาวะโลกร้อนที่เป็นภารกิจสำคัญของโลก
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหากท่านใดสนใจเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สายไฟของ Prysmian Group เพิ่มเติม สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ http://www.drakathai.com หรือติดต่อพูดคุยกับทีมงาน Prysmian Group ได้ที่ LINE: @drakabyprysmian หรือ Email ที่ [email protected]