จบไปแล้วกับ “Apple Far Out” งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดจากทาง Apple ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ใส่เข้ามาในอุปกรณ์รุ่นล่าสุดมากมาย เชื่อว่าบรรดาสาวก Apple น่าจะประทับใจและเตรียมซื้ออุปกรณ์ใหม่กันในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น iPhone 14, Apple Watch หรือว่า AirPods มากมายหลากหลายรุ่นที่น่าจะตอบโจทย์การใช้งานและเรื่องสุขภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ มีบางสิ่งที่ทีมงาน ADPT.news มองเห็นแล้วรู้สึกว่า “มีโอกาส” อาจจะกำลังเป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ประมาณ 3 เรื่องด้วยกัน รายละเอียดตามนี้
ยุค 5G มาแล้ว
จากการประกาศเปิดตัว iPhone 14 ไม่ว่าจะรุ่นเริ่มต้น รุ่น 14 Plus, 14 Pro หรือ 14 Pro Max หรืออะไรก็ตาม สิ่งที่ทาง The Verge ชี้ให้เห็นคือ “Apple เตรียมขายโทรศัพท์ที่รองรับเฉพาะ 5G เท่านั้นแล้ว”
โดยรุ่น iPhone 13 Pro, iPhone 13 Pro Max ที่ถึงแม้ว่าจะเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง ก็ยังถอดออกจากรายการขายหลัก (Lineup) อย่างเป็นทางการเพื่อเปิดทางให้กับ iPhone 14 ได้ขายอย่างเต็มที่และเป็นการทำให้โทรศัพท์ที่ทาง Apple ขายนั้นจะมีเฉพาะรุ่นที่รองรับ 5G ได้แล้วทั้งหมดนั่นเอง ซึ่งเชื่อว่า อีกไม่นานโทรศัพท์สมาร์ทโฟน “ทุกค่ายทุกรุ่น” รวมถึงรุ่นที่ไม่ใช่เรือธงก็จะรองรับ 5G ได้หมดในไม่ช้านี้เช่นกัน
อนาคตอาจใช้ eSIM กันหมด
สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างหนึ่งนั่นก็คือ โทรศัพท์ iPhone 14 และ 14 Pro ที่จะขายในสหรัฐอเมริกานั้นจะมีเฉพาะรุ่นที่ใช้ “eSIM” หรือ “SIM ที่ฝังมากับเครื่องโทรศัพท์”เท่านั้น นั่นคือจะไม่มีถาดใส่ SIM อีกต่อไปสำหรับ iPhone 14 ที่ใช้งานกันในสหรัฐอเมริกา
น่าสนใจมาก ๆ ว่าสิ่งนี้กำลังจะกลายเป็นเทรนด์อนาคตได้ เพราะว่าก่อนหน้านี้ ทาง Apple ก็ได้เริ่มรองรับ eSIM มาตั้งแต่ iPhone XS, XS Max และ XR มาตั้งแต่ปี 2018 แล้ว ซึ่งจากท่าทีล่าสุดที่เอา eSIM มาใส่ในรุ่นเรือธงของโทรศัพท์ iPhone 14 นี้ “มีโอกาส”ที่จะกระจายสู่วงกว้างนอกจากสหรัฐอเมริกาในอนาคต รวมทั้งค่ายอื่น ๆ ก็จะรองรับ eSIM ตามเช่นกัน ทั้งนี้ ในประเทศไทยเราเอง ผู้ให้บริการเครือข่ายก็เริ่มมี eSIM ให้ใช้งานได้แล้วด้วยเช่นกัน ดังนั้น เป็นไปได้มาก ๆ ที่อนาคตไทยจะเริ่มไปใช้ eSIM กันในอนาคตด้วยนั่นเอง
นาฬิกาที่จะไม่ใช่แค่นาฬิกาอีกต่อไป
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวล่าสุดที่น่าสนใจมาก ๆ นั่นคือ “Apple Watch Series 8” ที่ล่าสุดมากับฟีเจอร์ใหม่นั่นคือ เซ็นเซอร์อุณหภูมิ (Temperature Sensor) และระบบตรวจจับการชน (Crash Detection) ซึ่งหากใครเคยใช้ Apple Watch มาก่อนแล้วจะรู้สึกได้เลยว่านี่ไม่ใช่แค่นาฬิกาดูเวลาแล้ว ด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะมากมายที่ใส่เข้ามาที่มักจะเน้นไปสนับสนุนในเรื่องสุขภาพด้วย ทั้งตรวจจับออกซิเจน อัตราการเต้นหัวใจ ฯลฯ
แต่ทว่า Temperature Sensor ที่ใส่มาใน Apple Watch รุ่นล่าสุดนี้ ดูท่า Apple จะพยายามยึดโยงไปกับสุขภาพของบรรดาสตรีมากขึ้นไปอีกขั้น ที่จะสามารถทำนายได้ว่าสตรีผู้สวมใส่ “น่าจะไข่ตกหรือมีประจำเดือนเมื่อใด” รวมทั้งฟีเจอร์ Crash Detection ที่จะเป็นเหมือนระบบตรวจจับความปลอดภัยที่บอกได้ว่าตอนนี้มีอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้นกับผู้สวมใส่อยู่หรือไม่ และถ้าหากผู้ใส่ไม่ตอบสนองการแจ้งเตือนภายใน 10 วินาที ก็จะมีการติดต่อไปยังเบอร์ติดต่อฉุกเฉินให้อัตโนมัติได้เลยด้วย
สิ่งนี้ดูเหมือนกำลังจะเป็นเทรนด์อนาคตที่อุปกรณ์อย่างนาฬิกาอาจจะใช้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ด้วย รวมทั้งยังสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยตรวจจับสัญญาณอุบัติเหตุ ความปลอดภัยที่จะแจ้งเตือนให้กับบุคคลใกล้ชิดได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเชื่อว่านาฬิกาค่ายอื่น ๆ ก็จะค่อย ๆ มีฟีเจอร์ใกล้เคียงกันนี้ตามมาอย่างแน่นอนเหมือนกับฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ใส่เข้ามาก่อนหน้านี้