เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ทว่าการนำมาใช้งานในระดับองค์กรนั้นยังไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก ในบทความนี้เชิญทุกท่านมาร่วมเรียนรู้กันว่า AIS และ N Health ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีนั้นใช้งาน Opensource ผ่านบริการของ Red Hat ในการดำเนินธุรกิจแบบใด และการตัดสินใจเช่นนี้มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง
AIS ตั้งเป้าหมายเป็น Cognitive Tech-Co สร้าง Ecosystem ดิจิทัลให้กับธุรกิจไทย ความหลากหลายและยืดหยุ่นของเทคโนโลยีจึงสำคัญ
AIS มีกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ เทคโนโลยีจึงเข้ามาเป็นแกนหลักขององค์กรตั้งแต่การเริ่มกลยุทธ์ในช่วงปี 2015 พวกเขาผ่านขั้นตอน Digital Transformation มาอย่างยาวนาน และได้นำประสบการณ์ในการปฏิวัติองค์กรของตัวเองมาเป็นหนึ่งในรากฐานในการให้บริการแก่ลูกค้า
หลังการเปลี่ยนมาใช้ระบบคลาวด์มากขึ้น AIS ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของคลาวด์ที่สร้างโอกาสและทางเลือกให้กับธุรกิจขึ้นอย่างมหาศาล พวกเขาได้ลองผิดและลองถูกกับการใช้งานคลาวด์ ผ่านอุปสรรคของการปรับระบบเก่าๆให้ทันสมัยยิ่งขึ้น จึงเข้าใจถึงความสำคัญของการใช้ Hybrid และ Multi Cloud ซึ่งเข้ามารองรับการดำเนินงานของธุรกิจที่มีโซลูชันภายในอยู่มากมาย
AIS เลือกใช้ Red Hat OpenShift Container Platform ในการจัดการไฮบริดคลาวด์ ซึ่งนอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับองค์กรที่มีฝ่ายงานและหน่วยธุรกิจมากแล้ว ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทดลอง พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงระบบ รวมไปถึงเพิ่มความสามารถในการสเกลระบบให้รองรับการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น
ภายในองค์กรของ AIS มีทีม IT Planning ที่คอยอัพเดทและพิจารณาก่อนเลือกใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยจะคำนึงถึงความปลอดภัย Road Map ในอนาคตของเทคโนโลยี ฟีเจอร์ และคุณค่าที่องค์กรจะได้รับจากเทคโนโลยีนั้น โดย AIS นั้นเปิดกว้างกับการใช้งานทั้งเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์และโอเพ่นซอร์ส
พวกเขาพบว่าการใช้เทคโนโลยี Opensource นั้นทำให้พนักงานภายในองค์กรมีความตื่นตัวกับการติดตามความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเปิดกว้างมากขึ้นกับการมองหาเทคโนโลยีที่อาจไม่ได้มาจากบริษัทเทคโนโลยีใหญ่แต่มีความน่าเชื่อถือและสร้างคุณค่าได้จริง และส่วนหนึ่งของความไว้วางใจนี้ก็มาจากบริการเทคโนโลยี Opensource จาก Red Hat ที่เป็น Enterprise Grade พร้อมใช้งานในองค์กรได้อย่างมีมาตรฐาน
คุณศุภชัย พานิชายุนนท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจพัฒนาโซลูชั่นของ AIS กล่าวว่าหนึ่งในความภูมิใจของพวกเขาในการใช้แพลตฟอร์ม OpenShift จัดการระบบคลาวด์คือการรองรับผู้ใช้ได้เป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยทำได้มาก่อน ด้วยความสะดวกในการสเกลระบบทำให้พวกเขารับมือกับอีเวนท์ที่มีผู้ใช้งานเยอะ เช่น ช่วงการเปิดจองไอโฟนรุ่นใหม่ ได้โดยราบรื่นระบบไม่ล่มทั้งหน้าเว็บไซต์และระบบเบื้องหลัง
อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สนั้นยังมีความท้าทายที่แตกต่างจากซอฟต์แวร์ธุรกิจอื่นๆ นั่นคือความจำเป็นในการติดตามการอัพเดทและเวอร์ชั่นใหม่ๆของเทคโนโลยีอยู่เสมอและการเฝ้าระวังเรื่องความเข้ากันของเทคโนโลยีที่ใช้งานอยู่ (Compatability) แต่สิ่งที่พวกเขาได้กลับมาคือความยืดหยุ่นในการให้บริการที่มากขึ้น รวมไปถึงนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจากชุมชนนักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส นอกจากนี้ AIS ยังได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากการที่สมาชิกภายในองค์กรนั้นกระตือรือร้นในการติดตามข่าวสารการอัพเดทใหม่ๆอยู่เสมอด้วย
คุณศุภชัยกล่าวทิ้งท้ายว่าไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีแบบใด สิ่งที่สำคัญในการทำ Digital Transformation และใช้งานคลาวด์คือการเตรียมระบบสำหรับการตรวจสอบ เฝ้าระวัง และแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายในระบบ ทีมงานต้องมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ มีกลไกในการรับมือเหตุไม่คาดฝันอย่างรวดเร็ว และมีแผนสำรองในกรณีฉุกเฉินเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้และควบคุมความเสียหายที่เกิดขึ้น
N Health พร้อมสนับสนุนทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างบริการที่ฉับไวและมีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนด้วยการใช้ประโยชน์จากคลาวด์แบบไฮบริด
N Health เป็นผู้ให้บริการสนับสนุนทางการแพทย์ในเครือ BDMS พวกเขาให้บริการแก่โรงพยาบาลกว่า 80 แห่งทั้งในประเทศและนอกประเทศ รวมไปถึงมีบริการให้กับลูกค้าที่เป็นบุคคลทั่วไป ดังนั้นจึงพอจะนึกภาพออกว่าระบบภายในของ N Health นั้นต้องมีการเชื่อมต่อหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นระหว่างระบบภายในองค์กรและการใช้บริการคลาวด์ที่หลากหลาย
N Health วางโครงสร้างระบบของพวกเขาเป็น Hybrid Cloud ที่มีการใช้งานทั้งแบบ On-premise และบริการคลาวด์สาธารณะ ซึ่งหัวใจของการดำเนินธุรกิจของ N Health นั้นคือความรวดเร็ว ขั้นตอนต่างๆมีประสิทธิภาพ และได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ การประกอบระบบทั้งหมดเข้าหากันเป็นเนื้อเดียวจึงจะขาดแพลตฟอร์ม Red Hat OpenShift ไปไม่ได้
วิกฤตการณ์โควิดถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ N Health ด้วยความต้องการบริการที่เพิ่มมากขึ้นและกรอบเวลาที่เร่งรัดมากกว่าเดิม พวกเขาจึงเริ่มขั้นตอน Digital Transformation ขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่พวกเขาพบคือความท้าทายในการจัดการกับคลาวด์ต่างๆที่ใช้งานอยู่ และการรวมศูนย์ข้อมูลเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างรวดเร็วเพื่อดำเนินการต่อ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกใช้แพลตฟอร์ม OpenShift เข้ามาช่วย
N Health เชื่อว่าเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สมีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรมที่มักจะล้ำหน้า ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากชุมชนนักพัฒนาและนำเสนอบริการใหม่ๆสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว สำหรับ N Health แล้ว OpenShift ช่วยให้พวกเขารองรับผู้เข้าใช้บริการได้มากขึ้น จัดการกับข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว Real-time อีกทั้งยังช่วยให้พวกเขาสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแบบ Hybrid Cloud ได้เป็นอย่างดี
ในปี 2023 ที่ผ่านมา N Health ได้พัฒนาระบบบำรุงรักษาอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยมีรากฐานเป็นแพลตฟอร์ม OpenShift ซึ่งพวกเขาก็ไม่ผิดหวังกับความเสถียรและยืดหยุ่นที่แพลตฟอร์มนี้มีให้ นอกจากนี้พวกเขายังมีการจัดการ Supply Chain ด้วยระบบดิจิทัลทั้งหมด ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การให้บริการของพวกเขาราบรื่นในช่วงวิกฤตโรคระบาดที่มีความต้องการใช้บริการสูง
แน่นอนว่าในการให้บริการสนับสนุนด้านการแพทย์ ความปลอดภัยของข้อมูลถือเป็นประเด็นสำคัญที่สุด พวกเขาจึงมีทีมงานในการพิจารณาเทคโนโลยีใดก็ตามที่จะเลือกมาใช้อย่างละเอียด และให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลที่แชร์อยู่ในระบบ การจัดวางสถาปัตยกรรมแบบ Microservice ผ่าน OpenShift นั้นช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการกับข้อมูล อีกทั้งยังช่วยให้การนำข้อมูลไปใช้งานต่อ เช่น การวิเคราะห์ ส่งต่อ หรือใช้งานกับ AI เป็นไปได้โดยสะดวก
สำหรับ N Health พวกเขายังคงอยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้แนวทางในการจัดการระบบ Hybrid Cloud ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมขึ้นเพื่อสร้างบริการใหม่ๆ โดยในอนาคต พวกเขามีแผนที่จะให้บริการเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่หลากหลายขึ้น ช่วยโรงพยาบาลและคลินิกในการทำ Digital Transformation รวมไปถึงการทดลองนำ AI เข้ามาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ในการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการแบบ Personalized ด้วย