SAP มุ่งมั่น ผลักดันภูมิภาค SEA ขับเคลื่อนนวัตกรรม หนุนธุรกิจส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุด

0

ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน “SAP NOW SEA 2024 : Accelerate to Innovate and Bring Out The Best in Your Business” ณ ประเทศสิงคโปร์ ที่ทาง SAP ได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชันผ่านบูธนิทรรศการและการบรรยายในหลากหลายหัวข้อในวันที่ 24 สิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา

โดยภายในงาน SAP ได้แสดงให้เห็นทั้งวิสัยทัศน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ทิศทางผลิตภัณฑ์ของ SAP กับ AI ในอนาคต รวมทั้ง Use Case กรณีศึกษาของหลากหลายองค์กร เช่น กลุ่มมิตรผล Standard Chartered และ CPF ที่สามารถปรับใช้ผลิตภัณฑ์ของ SAP ทรานส์ฟอร์มกระบวนงานได้สำเร็จตามที่ต้องการ ทีมงานจึงขอหยิบยกเรื่องราวกรณีศึกษาน่าสนใจบางส่วนมาบอกเล่าไว้ในบทความนี้ 

ในเซสชัน Keynote ทาง SAP บรรยายโดยคุณ Verena Siow, President & Managing Director, แห่ง SAP Southeast Asia​ ได้ชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นยังมีโอกาสอีกมาก และ SAP มีความพยายามที่จะผลักดันให้นวัตกรรมเกิดเร็วยิ่งขึ้น ตามชื่องานคือ “การนำเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากธุรกิจของคุณ (Bring out the best in your business)

โดยคุณ Verena ได้ชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นยังมีโอกาสอีกมาก ซึ่งภูมิภาคอาเซียนนั้นคือหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของโลก รวมทั้งมีโอกาสที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะพุ่งทะยานไปถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ได้เลย และส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่จะขับเคลื่อนไปถึงจุดนั้นได้ คือ “Generative AI”

คุณ Verena Siow, President & Managing Director, แห่ง SAP Southeast Asia​

คุณ Verena จึงชี้วิสัยทัศน์ของ SAP ที่จะเดินหน้าในภูมิภาคนี้ผ่าน 3 คำที่ย่อเป็นคำว่า SEA อันได้แก่

1. “S : Scale” ขยายขนาด เร่งนวัตกรรม 

ปัจจุบัน SAP มีผู้ใช้งานมากกว่า 300 ล้านบัญชีแล้วทั่วโลกที่ครอบคลุมกว่า 25 กลุ่มอุตสาหกรรมเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหากจะขยายขนาดหรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ในอนาคตให้ได้อย่างรวดเร็ว การเร่งปรับใช้ Cloud ไม่ว่าจะเป็น RISE with SAP หรือ GROW with SAP รวมทั้งการปรับใช้แนวทาง Clean Core Approach คือสิ่งที่องค์กรธุรกิจจะต้องพิจารณาปรับใช้เพื่อให้สามารถเร่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้เร็วขึ้นกว่าแบบเดิม

2. “E : Ecosystem” ระบบนิเวศที่จะเติบโตไปพร้อมกัน

SAP ได้มีพาร์ตเนอร์เทคโนโลยีระดับโลกที่ดีที่สุดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Google, AWS, Microsoft, Meta, NVIDIA รวมทั้ง Mistral.AI ซึ่ง SAP ทำงานใกล้ชิดกับพาร์ตเนอร์เหล่านี้ในการสร้างขีดความสามารถด้าน AI ต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างเส้นทางการเรียนรู้ AI และการสอบ Certification และสร้าง SAP Labs ที่สิงคโปร์ที่เปิดตัวในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ซึ่งทั้งหมดคือ Ecosystem ที่ SAP จะพาเติบโตไปพร้อม ๆ กัน

3. “A : Adoption” ขับเคลื่อนการใช้งานด้วย GenAI 

การขับเคลื่อนการใช้งานเพื่อให้องค์กรธุรกิจสามารถทรานส์ฟอร์มให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย SAP มีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมสนับสนุนมากมาย เช่น Walkme, Signavio, LeanIX ที่พร้อมสนับสนุนการทำ End-To-End Business Transformation ให้กับองค์กรลูกค้าได้ พร้อมทั้งมี Generative AI อย่าง “Joule” โมเดล AI Copilot ที่กำลังจะสนับสนุนงานของผู้ใช้ได้ราว 80% ภายในสิ้นปี 2024 นี้เลย

ในเซสชัน Keynote เดียวกันนี้ คุณ Athikom Kanchanavibhu, Executive Vice President, Digital & Technology Transformation และ CISO แห่งกลุ่มมิตรผล ได้ขึ้นบรรยายเกี่ยวกับการปรับใช้ RISE with SAP ที่ทำให้การใช้ประโยชน์จากข้อมูลองค์กรที่จัดเก็บไว้อยู่ใน SAP อยู่แล้ว สามารถนำไปต่อยอดใช้งานกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีความไร้รอยต่อมากกว่าเครื่องมือที่ใช้งานก่อนหน้านี้

เพราะกลุ่มมิตรผลไม่ได้มีผลิตภัณฑ์น้ำตาลเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว หากแต่ยังมีธุรกิจอื่น ๆ เช่น พลังงาน ปุ๋ย วัสดุทดแทนไม้ รวมทั้งมีธุรกิจในต่างประเทศแล้ว จึงทำให้องค์กรผลักดันการปรับใช้เทคโนโลยี ซึ่งคุณ Athikom เผยว่าปัจจุบันมีพนักงานกว่าพันคนที่เริ่มประยุกต์ใช้ Generative AI แล้ว และทางกลุ่มก็กำลังพยายามขยายผลให้พนักงานใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งคุณ Athikom มองว่า Business Process ในอนาคตจะขับเคลื่อนด้วย AI และแทบทุก BU จะเห็น AI ในการปฏิบัติงานด้วย ดังนั้น แนวทางในการพูดเรื่องเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไป และธุรกิจจะได้รับผลกระทบจาก AI อย่างแน่นอน

ในเซสชัน Keynote เช่นกัน คุณ Craig Turrel, Head of SAP Design & Application Architecture, Aspire Data & Analytics แห่ง Standard Chartered เผยว่าหนึ่งในธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 170 ปีนี้ ได้เลือกปรับใช้แนวทาง Clean Core Approach ด้วยการใช้ Business Transformation Platform (BTP) เพื่อเร่งความเร็วและขยายขนาด (Scale) ได้เร็วยิ่งขึ้น

โดยคุณ Craig กล่าวว่า BTP ได้สนับสนุนให้ Standard Chartered สามารถทำ Big Data Analytics ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้พนักงาน Business User ที่ต้องทำงานตอน 9 โมงเช้ามีข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจ (Decision Making) ได้ทันที เพราะ BTP ช่วยลดเวลาที่ต้องย้ายข้อมูลรวมทั้งการตรวจสอบข้อมูลลงไปได้อย่างมหาศาลผ่านกระบวนการอัตโนมัติ ส่งผลให้ขั้นตอนการเตรียมข้อมูลเหลือเพียงแรงงานคนแค่ 1% จากก่อนหน้านี้ที่ต้องใช้ถึง 90% ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการปรับใช้ Generative AI ต่อไปอีกด้วย

อีกหนึ่งเซสชันคือการเสวนาในวิสัยทัศน์ที่มีผู้นำองค์กรยักษ์ใหญ่ในภูมิภาค SEA มาพูดคุยกัน หนึ่งในนั้นคือคุณ Peerapong Krinchai, Executive Vice President – Central Engineering แห่งซีพีเอฟ (CPF) ซึ่งได้โชว์วิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนในฐานะหนึ่งในองค์กรของภาคอุตสาหกรรมอาหารของโลก ที่ต้องการบรรลุเป้าหมาย Net Zero จึงเลือกปรับใช้โซลูชัน SAP Sustainbility เพื่อติดตามการปล่อยคาร์บอนแบบ End-To-End

โดยคุณ Peerapong ได้เล่าถึงความสำเร็จในการเริ่มต้นติดตามการปล่อยคาร์บอนผ่าน Blockchain ของ SAP ภายใน Supply Chain เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ต้นน้ำหรือแหล่งที่มาวัตถุดิบจากฟาร์มไปจนถึงการเป็นอาหารที่ปลายทางที่จะมีข้อมูลการปล่อยคาร์บอนในทุกขั้นตอนจัดเก็บเข้าสู่ Blockchain ของ SAP ที่มั่นใจในเรื่องความโปร่งใสและสามารถติดตามได้

โซลูชันของ SAP นี้ทำให้ CPF สามารถคำนวณ Carbon Footprint หรือ Emission Gas ของอาหารชิ้นนั้นทันทีและสามารถติดตามย้อนกลับได้ว่าจุดใดที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเรื่องคาร์บอนได้ดีขึ้นในอนาคต ซึ่งสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของ CPF เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็น “ครัวโลกที่ยั่งยืน” ต่อไป

ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวกรณีศึกษาบางส่วนจากงาน SAP NOW SEA 2024 : Accelerate to Innovate and Bring Out The Best in Your Business” ณ ประเทศสิงคโปร์ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่าภูมิภาค SEA นี้ยังมีโอกาสอีกมาก ซึ่ง SAP จะผลักดันการ Scale, Ecosystem และ Adoption ภายในภูมิภาคนี้ให้มากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของ SAP นั้นพร้อมช่วยสนับสนุนให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถทรานส์ฟอร์มกระบวนงานที่ทำมาก่อนหน้านี้ พลิกโฉมให้มีความทันสมัยและสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ที่สำคัญคือเทคโนโลยี AI อย่าง Joule ที่จะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้กว่า 80% บนผลิตภัณฑ์ SAP จะยิ่งเร่งปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานขององค์กรในอนาคตไปอีกอย่างแน่นอน