ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา หน่วยงาน Internal Revenue Service (IRS) ของสหรัฐฯจัดให้ bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลายเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง สถานะความเป็นทรัพย์สินนี้ทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากกำไรใดๆที่เกิดขึ้นจากการขายหรือแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ทว่าด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไม่ถูกต้องนักในคำประกาศ ทำให้ผู้ใช้ต้องจ่ายภาษีในลักษณะดังกล่าวในการใช้เงินดิจิทัลเพื่อซื้อของด้วย
ในขณะที่ร้านค้าต่างก็เริ่มรองรับการจ่ายเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใช้เงินดิจิทัลในสหรัฐกลับต้องแบกรับภาษีจากการจับจ่าย เช่น ผู้ใช้ที่ซื้อ bitcoin มาในราคา $1 ซึ่งในเวลาถัดมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นจนสามารถซื้อกาแฟราคา $2 ได้ แต่ด้วยถ้อยคำในประกาศของ IRS นั้นทำให้ผู้ใช้ต้องรับผิดชอบจ่ายภาษีสำหรับ”กำไร” $1 ที่เพิ่มขึ้นมา
ส.ส. Jared Polis และ David Schweikert ผู้นำที่ประชุม Congressional Blockchain Caucus เห็นว่าการเรียกเก็บภาษีลักษณะนี้ไม่สมเหตุสมผลนัก จึงได้เสนอร่างกฎหมาย Cryptocurrency Tax Fairness Act เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว โดยหากผ่านการพิจารณาจะทำการยกเว้นภาษีให้กับผู้ที่ใช้เงินดิจิทัลในการจับจ่ายซื้อของที่มีมูลค่าต่ำกว่า 600 เหรียญสหรัฐฯ และจะมีผลบังคับใช้หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2017 เป็นต้นไป
Jerry Brito ผู้อำนวยการองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Coin Center ผู้ซึ่งสนับสนุนและช่วยในการเรียบเรียงร่างกฎหมายในครั้งนี้ให้ความเห็นในเชิงบวกว่าร่างกฎหมายดังกล่าวนั้นมีลักษณะคล้ายกฎหมายยกเว้นภาษีให้กับการจับจ่ายด้วยสกุลเงินต่างประเทศ อีกทั้งยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของความพยายามในการปฏิวัติภาษีในสภา Congress จึงน่าจะผ่านการพิจารณาโดยไม่มีปัญหาอะไร
Cryptocurrency นั้นเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเงินโดยตรง ความตื่นตัวของภาครัฐเช่นการแก้ไขกฎหมายอย่างว่องไวทันสถานการณ์จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย