หุ่นยนต์อาจเป็นที่หวาดกลัวจากคนทั่วไปในฐานะแรงงานที่อาจเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันพวกมันก็ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนในฐานะผู้ให้คำปรึกษาที่มีอคติน้อย ทำงานได้รวดเร็ว และราคาถูก โดยเฉพาะในแวดวงการเงิน
ต้นกำเนิดของหุ่นยนต์ให้คำปรึกษาทางการเงินทั่วไปนั้นมาจากระบบแนะนำการลงทุนอัตโนมัติที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน สตาร์ทอัพเช่น Betterment และ Wealthfront ผู้ให้บริการดังกล่าวนั้นทำการบริหารเงินไปทั้งสิ้น 6,700 ล้านและ 4,400 ล้านเหรียญตามลำดับในปี 2016 และไม่ใช่เพียงแต่สตาร์ทอัพเท่านั้น เพราะบริษัทการเงินขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงก็ล้วนแต่มีระบบให้คำปรึกษาดังกล่าวทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม Advisor ของ Vanguard ที่จัดการกับเงินกว่า 47,000 ล้านเหรียญ
ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน คำแนะนำในการจัดการเงินเฉพาะบุคคลนั้นยิ่งทวีความสำคัญมากกว่าที่เคย และด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจพุ่งขึ้นสูงหากคำแนะนำเหล่านั้นมาจากที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นมนุษย์ การเลือกใช้หุ่นยนต์หรือระบบปัญญาประดิษฐ์จึงเป็นทางเลือกที่เข้ามาเป็นคำตอบ และดูเหมือนผู้บริโภคเองก็เห็นด้วยกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
จากการสำรวจลูกค้าบริการทางการเงินประมาณ 33,000 คนทั่วโลกโดย Accenture พบว่า ร้อยละ 71 ของกลุ่มตัวอย่างยินดีที่จะให้หุ่นยนต์ช่วยเหลือในการเลือกธนาคารเพื่อเปิดบัญชี ร้อยละ 74 ยินดีให้หุ่นยนต์ช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อประกัน ร้อยละ 68 ยินดีที่จะรับคำปรึกษาหุ่นยนต์ในการวางแผนการเงินหลังเกษียณอายุ และกว่าร้อยละ 78 ยินดีรับคำแนะนำในการลงทุนจากหุ่นยนต์
นอกจากคุณภาพของคำแนะนำ ราคา และความรวดเร็วแล้ว ที่ปรึกษาหุ่นยนต์ยังทำงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะกลุ่มอายุน้อย สามารถจัดการกับการเงินของพวกเขาผ่านอินเทอร์เน็ตได้โดยสะดวก
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความซับซ้อน ผลสำรวจชี้ว่าผู้ใช้สะดวกใจที่จะคุยกับมนุษย์ด้วยกันเองมากกว่า และเกือบ 2 ใน 3 ของผู้ใช้ยังคงต้องการให้มีมนุษย์อยู่ในบริการทางการเงิน โดยเฉพาะในการร้องเรียนปัญหา และการจัดการกับผลิตภัณฑ์บางตัว เช่น สินเชื่อ เป็นต้น
ประเทศไทยของเราเองนั้นจากการวิจัยก็พบว่าเป็นประเทศที่มีความต้องการระบบที่ปรึกษาหุ่นยนต์สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ราวร้อยละ 90 แนวโน้มเช่นนี้อาจทำให้เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันได้ในอีกไม่นานนัก
