Fortune เผย 4 เทรนด์เทคโนโลยีในปี 2018

0

ช่วงสิ้นปีแบบนี้สำนักข่าวหลายแห่งต่างก็ไม่พลาดที่จะออกมาพูดและทำนายถึงเทรนด์ของสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นในปีถัดไป และคราวนี้ก็เป็นตาของนิตยสาร Fortune ที่ได้ออกมากล่าวถึง 4 เทรนด์แห่งเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลกในปี 2018

(บทความดังกล่าวถูกเขียนขึ้นโดย Jay Samit ผู้บริหาร Deloitte Digital และนักเขียนหนังสือที่ได้รับความนิยม Samit เชื่อว่าการทำงานให้คำปรึกษากับลูกค้าผู้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงนั้นทำให้เขาสามารถเห็นเทรนด์ของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน)

1. IoT อาจยังไม่พอ แต่ต้องเป็น BIoT (Blockchain IoT) ด้วย

เทคโนโลยี IoT นั้นเกิดขึ้นและถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากแนวคิดของมันนั้นคือการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือสมาร์ทโฟนซึ่งจัดเป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง โครงสร้างเหล่านี้ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีศักยภาพสูงในการสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ทว่าเทคโนโลยี IoT อาจยังไม่พอเสียทีเดียว จะเกิดอะไรขึ้นหากนำ blockchain อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังเป็นกระแสไม่แพ้กันมาอยู่ด้วยกัน

การทำงาน blockchain นั้นเรารู้กันอยู่แล้วว่ามันเป็นระบบเก็บข้อมูลจะสร้างบันทึกดิจิทัลไปยังคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายหลายพันหลายหมื่นเครื่องทั่วโลก ซึ่งจะทำให้การโจมตีระบบนั้นเป็นเรื่องทียากขึ้น การนำ blockchain มาเป็นฐานข้อมูลให้กับระบบ IoT นั้นจะทำให้ธุรกิจสามารถสร้างระบบใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัย และยากต่อการถูกแฮคขึ้นมาใช้ เช่น การติดตามการขนส่งยารักษาโรค หรือการสร้าง smart city ที่มีกลไกในการควบคุมความร้อน ไฟจราจร และอื่นๆ โดยลดความหวาดระแวงต่อการโจมตีลง

2. ยุคทองแห่ง fintech

ในปีที่ผ่านมาเราได้เห็นข่าวเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลอย่าง bitcoin กันแทบทุกวัน และในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือ mobile payment ที่มีอัตราการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในจีนที่มีการใช้จ่ายมากกว่า 5 ล้านล้านครั้งในหนึ่งปีไปแล้ว และสองสิ่งนี้ก็ยังจะเป็นเทคโนโลยีที่กำหนดเทรนด์ในปีหน้าว่าจะไปในทิศทางใด

การชำระเงินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง? ในปีหน้านี้เราจะได้เห็น การพัฒนาระบบความปลอดภัยที่ดีขึ้นสำหรับ mobile payment เช่น การใช้ข้อมูล biometric อย่างภาพถ่ายใบหน้า เสียง และลายนิ้วมือ ในการยืนยันตัวตน เราอาจจะได้เห็นร้านค้าปลีกที่เปิดรับสกุลเงินดิจิทัลในการซื้อสินค้า และในหลังฉากของการชำระเงิน เราอาจได้เห็น blockchain เทคโนโลยีเบื้องหลังของ cryptocurrency อย่าง bitcoin เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างของการชำระเงิน การใช้ smart contract เพื่อจัดการธุรกรรมนั้นจะทำให้ขั้นตอนเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ในอีกด้านหนึ่ง สกุลเงินดิจิทัลนั้นก่อให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาล และสร้างคาร์บอนจำนวนมากขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ความกังวลต่อเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมนี้อาจทำให้สถาบันการเงินต่างๆหันมาสนใจเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมกันมากขึ้น เนื่องด้วยศักยภาพที่จะลดการใช้พลังงานได้อย่างมาก โดยเฉพาะกับคอมพิวเตอร์ที่กำลังประมวลผล bitcoin

และสุดท้ายในส่วนของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลายนั้น เราจะได้เห็นสถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์เข้ามามีส่วนร่วมกับพวกมันมากขึ้นเรื่อยๆ และในสองปีข้างหน้า เราอาจได้เห็นพวกเขายอมรับ cryptocurrency เป็นสกุลเงินทั่วไปเลยก็เป็นได้

3. Augmented reality ในทุกที่

ทุกท่านคงยังจำได้กับเกมยอดฮิตอย่าง Pokemon Go ที่สร้างรายได้ไปกว่าพันล้านเหรียญกับเกมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ augmented reality อาจกล่าวได้ว่าเกมนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลายๆแบรนด์ต้องกลับมามองเทคโนโลยี augmented reality อีกครั้ง ซึ่งในเวลานี้ที่อุปกรณ์ AR เช่น โทรศัพท์ หรือแว่นตา AR มีราคาถูกลง ก็ทำให้เราอาจได้เห็นเทคโนโลยี AR เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตในการทำงาน ซื้อของ หรือเล่น ไปเลย

Heads Up Display (HUD) นั้นเคยเป็นเพียงจอบอกสถานการณ์รอบตัวที่เราเห็นนักบินเครื่องบินรบใช้อยู่ในภาพยนตร์ต่างๆ ทว่าในยุคนี้นั้น HUD อาจกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกย่อลงมาอยู่ในแว่นตาของคุณ จนวันหนึ่งคุณอาจเดินอยู่บนถนนในประเทศที่ไม่รู้จัก โดยสามารถอ่านป้ายข้างทางต่างๆได้เข้าใจจากคำแปลที่แว่นตาของคุณแสดงออกมาให้เห็น

AR จะเข้ามาเปลี่ยนประสบการณ์การซื้อของโดยเฉพาะกับร้านค้าปลีกที่กำลังประสบวิกฤตการแข่งขันจากพฤติกรรมการซื้อออนไลน์อย่างหนัก เทคโนโลยีดังกล่าวนี้อาจทำให้คุณสามารถเห็นหุ่นโชว์ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายคุณ ทำให้ดาราคนโปรดของคุณเป็นผู้แนะนำสินค้าตามชั้นวาง พนักงานขายรถที่โบกมือเพื่อเปลี่ยนสีหรือรุ่นของรถให้ลูกค้าชม หรือสร้างร้านค้า pop-up ขึ้นมาในสถานที่ที่คุณคาดไม่ถึงมาก่อน ประสบการณ์ในการช็อปปิ้งจะกลายมาเป็นอะไรที่น่าตื่นตามากขึ้นด้วย AR

นอกจากอุตสาหกรรมค้าปลีกแล้ว AR ยังมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจอีกหลายชนิด และด้วยเทคโนโลยี Li-Fi ซึ่งเป็นเครือข่ายไร้สายรุ่นใหม่ที่เร็วกว่า Wi-Fi กว่า 100 เท่า ประสบการณ์ AR จะกลายมาเป็นประสบการณ์ real-time ที่คมชัดแบบ HD เช่นในอุตสาหกรรมกีฬา ผู้เข้าร่วมรับชมฟุตบอลสดที่สนามอาจสามารถเห็นสถิติของผู้เล่นแต่ละคนผ่าน AR ได้

4. Bots, bots, และ bots

ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเริ่มคุ้นชินกับการพูดคุยกับหุ่นยนต์ไปเสียแล้ว เช่นการสนทนาผ่าน call center ของธุรกิจต่างๆ หรืออุปกรณ์ผู้ช่วยเช่น Google Home และหากคุณคิดว่าปัจจุบันโลกเรามีการ bots ในการสื่อสารอยู่มากแล้วในปี 2018 ที่จะถึงนี้ ก็จะยิ่งขึ้นไปอีก

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติจะมีมากขึ้นในส่วนงาน customer service และแง่มุมอื่นๆในชีวิตประจำวัน บอตในอุปกรณ์ที่บ้านนั้นจะไม่หยุดอยู่แค่การตอบคำถาม แต่พวกมันจะสามารถให้ข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด เช่น “ถึงเวลาที่คุณต้องกินยาแล้ว” และมันอาจพัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถเตือนคุณในเรื่องที่สำคัญไปกว่านั้นได้ เช่น “หากคุณซื้อของชิ้นนี้ มันจะเกินวงเงินบัตรเครดิตของคุณ” เป็นต้น

Bots จะเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคุณในการดูแลเด็กๆ แนะนำการลงทุน หรือเป็นส่วนเสริมของแบรนด์ต่างๆ และด้วยสมาร์ทโฟนที่อยู่ติดมือผู้ใช้แทบจะตลอดเวลา ธุรกิจต่างๆจะหันไปสร้าง chatbots มากขึ้น เพื่อสร้างบริการที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้าของพวกเขา