ในงาน CES เมื่อปีที่แล้ว Neutrogena ได้เปิดตัวแอปสำหรับ iPhone ชื่อ Skin360 ที่สแกนใบหน้าผู้ใช้เพื่อตรวจสภาพผิวและความชุ่มชื้น ในปีนี้เองทางบริษัทกำลังสร้างอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตมาส์กแบบกำหนดเองได้ผ่านแอป iOS ใหม่ที่เรียกว่า MaskiD
ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้แอป Skin360 ร่วมด้วยเพื่อจะใช้งานแอป MaskiD แม้ว่าทาง Neutrogena เผยว่าจะช่วยวัดค่าสภาพผิวหน้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวแอปนี้จะใช้งานร่วมกับกล้อง TrueDepth ใน iPhone รุ่น X XS และ XR ในการถ่ายภาพใบหน้าผู้ใช้แบบสามมิติ เพื่อให้มาส์กแต่ละชิ้นเข้ากับใบหน้าของผู้ใช้รายบุคคล
ทางบริษัทได้ออกส่วนผสมในเบื้องต้น 5 อย่าง คือ วิตามินซีชนิดเสถียร กรดไฮยาลูโรนิกบริสุทธิ์ ไนอาซินาไมด์ (วิตามินบี 3) ฟีเวอร์ฟิว และ N-อะซิทิว กลูโคซามีน โดยในมาส์กแต่ละชิ้นจะมีทั้งหมด 6 ส่วน คือ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม จมูก คาง และ ช่วงกราม และยังสามารถปรับส่วนผสมในแต่ละส่วนของใบหน้าตามความกังวลของผู้ใช้ได้อีกด้วย เช่น หากแก้มของคุณดูหมอง คุณสามารถเลือกใช้วิตามินซีชนิดเสถียรในบริเวณนั้นได้ ในตอนนี้ตัวมาส์กยังมีสีอยู่เพื่อแสดงส่วนต่างๆ กันไป แต่อาจจะปรับเปลี่ยนไปก่อนที่จะเปิดให้แอปและมาส์กได้มีการใช้งานอย่างกว้างขวาง
ผู้ใช้ Skin360 ก็สามารถตรวจดูระดับความชุ่มชื้นของผิวในระดับที่ลึกขึ้นเพื่อดูว่ามาส์กได้ช่วยบำรุงผิวหรือไม่ ทั้งนี้ ทาง Neutrogena ยังไม่เผยราคาของมาส์ก แต่คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้
เป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจที่ Neutrogena ยังคงมุ่งไปยังเรื่องการสร้างสินค้าให้เหมาะสำหรับผู้ใช้เฉพาะตัว เพราะนั่นเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นของบรรดาบริษัทเพื่อความงาม ดังที่เราได้เห็นเมื่อปีที่แล้วในงาน CES ที่มีผลิตภัณฑ์อย่างแชมพูและครีมนวดผมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้แต่ละประเภท ทาง Neutrogena ก็ขายผลิตภัณฑ์ได้หลายพัน และแอป Skin360 ก็ได้รับการออกแบบมาเพื่อสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งนั่นก็หมายถึงจะทำให้มียอดขายสินค้ามากขึ้น สำหรับแอป MaskiD นี้ก็ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกสรรได้มากขึ้นว่าจะใช้ส่วนผสมอะไรบนใบหน้าของตน
Michael Southal ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีความงามของ Neutrogena เผยว่า ท้ายที่สุดแล้ว Neutrogena ก็ต้องการใช้ AI ช่วยระบุว่าเมื่อไรที่ผิวหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลง และให้คำแนะนำตามสภาพผิวหน้า แต่การจะทำแบบนั้นได้ Neutrogena ยังต้องการข้อมูลผู้ใช้จำนวนมากที่ค่อยๆ รวบรวมผ่านแอปอย่าง Skin360 และ MaskiD
บริษัทยอมรับว่าได้เข้ารหัสข้อมูลและรูปของผู้ใช้ แต่ควบคุมให้ใช้ข้อมูลนั้นเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้บีบบังคับให้ผู้ใช้ซื้อหรือต้องพึ่ง Skin360 แต่ก็แนะนำให้ใช้ ไม่ใช่แค่จุดประสงค์เพื่อการแนะนำที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องข้อมูลที่บริษัทมอบให้ด้วย