จีนเริ่มตามทันสหรัฐอเมริกาในงานวิจัยด้าน AI แล้ว

0
https://cdn.vox-cdn.com/thumbor/C_CtvavO5Udjfg3tzGOf1bTW6qQ=/0x0:2040x1360/920x613/filters:focal(857x517:1183x843):format(webp)/cdn.vox-cdn.com/uploads/chorus_image/image/63236079/jbareham_170802_1892_0002.0.jpg

ในปี 2560 ทางรัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายอย่างเป็นทะเยอทะยานว่าต้องการที่จะเป็นผู้นำในด้าน AI ของโลกให้ได้ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) ให้ได้ หากแต่ก็เริ่มมีการวัดผลบางอย่างที่ดูเหมือนว่าประเทศจีนนั้นได้ทำเป้านั้นสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ถึงทศวรรษเลยทีเดียว

โดยงานวิจัยใหม่นี้ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์การตีพิมพ์งานวิจัยด้าน AI ที่มีอิทธิพลในวงการจากประเทศจีนนั้นจะเริ่มตามทันจากทางสหรัฐอเมริกาผู้ซึ่งเป็นเบอร์ 1 ในเรื่องงานวิจัยด้าน AI อยู่ ณ ปัจจุบันแล้ว โดยงานวิจัยดังกล่าวได้บอกว่าแผนของประเทศจีนที่ขยายขีดความสามารถของระบบ AI ได้นั้นเนื่องจากได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนการลงทุนจากรัฐบาลทั้งเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในการศึกษาและในภาคอุตสาหกรรมเอกชนที่ทำให้ดำเนินการได้สำเร็จ

ในแง่ของปริมาณที่แท้จริงของงานวิจัยด้าน AI ที่ตีพิมพ์ออกมาในแต่ละปีนั้น จากประเทศจีนสามารถทำได้มากกว่าสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่เมื่อปี 2549 แล้ว หากแต่นักวิจารณ์ก็ได้ชี้ให้เห็นว่าจำนวนนั้นยังไม่ได้จำเป็นมากนักหากเทียบกับคุณภาพที่ได้ออกมา ซึ่งที่ผ่านมาจีนได้มีปัญหาในทำงานวิจัยที่ดีออกมาไม่ได้เพราะมีการทุจริตในเชิงวิทยาศาสตร์เกิดขึ้น อีกทั้งในด้าน AI นั้นเป็นหนึ่งในประเภทงานวิจัยของจีนที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีก ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงมีคนบอกว่าการนับจำนวนงานวิจัยนั้นไม่ได้มีความหมายแต่อย่างใดในการวัดผลความสำเร็จในด้าน AI โดยแท้จริง

หากแต่งานวิจัยใหม่ๆ จากสถาบัน Allen Institute for Artificial Intelligence (AI2) ได้ทำรายละเอียดเรื่องนี้โดยไม่ได้วัดผลเพียงแค่จำนวนงานวิจัยที่ออกมา แต่เป็นการวัดจากจำนวนการ cite ในงานวิจัยต่างๆ ซึ่งเป็นการวัดผลที่ดีที่จะโน้มน้าวในวงกว้างได้ดีขึ้น

และหลังจากการวิเคราะห์งานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมาในด้าน AI มากกว่า 2 ล้านงานตีพิมพ์จนกระทั่งถึงสิ้นปี 2561 นั้น ทางสถาบัน Allen Institute พบว่าประเทศจีนนั้นกำลังจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยคาดว่าจีนจะตามทันในส่วน 50% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุดได้ภายในปีนี้ และตามทันส่วน 10% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุดได้ภายในปีหน้า และจะตามทันในส่วน 1% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุดได้ภายในปี 2568

โดยนักวิจัยพบว่า 10% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุดนั้น ของทางฝั่งอเมริกานั้นได้ลดลงมาจาก 47% เมื่อปี 2525 ลงมาเหลือเพียง 29% ในปี 2561 ส่วนฝั่งจีนนั้นกลับเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนมาถึง 26.5% ได้เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา

https://cdn.vox-cdn.com/thumbor/_2BZGV-9qS9ypTo3xqYGFjSlo7M=/0x0:2497x960/920x0/filters:focal(0x0:2497x960):format(webp):no_upscale()/cdn.vox-cdn.com/uploads/chorus_asset/file/15961034/allen_ai_china_paper_graphs.jpg
ภาพจาก AI2 แสดงจำนวนของฝั่งอเมริกาและจีนใน ส่วน 10% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุด และ ส่วน 1% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุด

คุณ Oren Etzioni ศาสตราจารย์ด้าน Computer Science และ CEO ในสถาบัน Allen Institute ได้กล่าวว่างานวิจัยนี้ได้”หักล้าง” stereotype ของงานวิจัยจีนในด้าน AI ที่มีแต่จำนวนแบบเดิมๆ ไปเสียแล้ว

“ชัดเจนมากๆ ว่าคุณภาพของงานวิจัยตีพิมพ์ของจีนนั้นมีคุณภาพที่สูงและสูงขึ้นเรื่อยๆ” คุณ Etzioni กล่าว “และแน่นอนว่าคงจะมีบางคนแย้งมาว่าสถิติการ citation นั้นอาจจะมาจากการที่มีนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนเอง cite กันไปมามากยิ่งขึ้นก็ได้ หากแต่ถ้าคุณลองดูถึงลิสต์ใน Best Paper Awards นั้นคุณจะเห็นว่ามีของชาวจีนอยู่หลายอันที่แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”

Source : https://www.theverge.com/2019/3/14/18265230/china-is-about-to-overtake-america-in-ai-research