ซานฟรานซิสโกได้ลงมติสั่งห้ามองค์กรรัฐบาลมิให้ใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้า นับเป็นเมืองแรกในสหรัฐอเมริกาที่ออกมาประกาศมาตรการนี้
คณะกรรมการบริหารประจำเมืองได้ลงมติแปดต่อหนึ่งในการรับรองญัตติดังกล่าวที่สั่งห้ามหน่วยงานของรัฐ รวมไปถึงการบังคับใช้กฎหมาย มิให้ใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้า ซึ่งจะมีผลในอีกหนึ่งเดือน กฎเทศบัญญัติบังคับให้องค์กรรัฐต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง และต้องได้รับการตรวจสอบเทคโนโลยีที่นำไปใช้อยู่แล้ว เมืองอื่นๆ ก็ได้เห็นชอบมาตรการความโปร่งใสเช่นเดียวกัน
กฎดังกล่าวมีชื่อว่า กฎเทศบัญญัติระงับการเฝ้าระวังซ่อนเร้น (Stop Secret Surveillance Ordinance) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อการตรวจตราผ่านระบบรู้จำใบหน้าดังกล่าว ซึ่ง Aaron Peskin ผู้เสนอนโยบายนี้ได้กล่าวไว้ว่า “นี่ไม่ใช่นโยบายที่ต่อต้านการใช้เทคโนโลยี” แต่เน้นย้ำว่าเครื่องมือหลายอย่างที่บังคับใช้โดยกฎหมายก็ยังสำคัญต่อความปลอดภัยของเมือง อย่างไรก็ดี เขาเสริมว่า เทคโนโลยีรู้จำใบหน้านั้น “อันตรายและเป็นการกดขี่”
การสั่งห้ามการใช้เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการถกเถียงกันเรื่องระบบรู้จำใบหน้า ซึ่งสามารถนำไปใช้ระบุตัวตนได้อย่างรวดเร็ว และจุดประเด็นเรื่องเสรีภาพของประชาชน ผู้เชี่ยวชาญต่างก็ได้ยกประเด็นเรื่องเครื่องมือดังกล่าวเนื่องจากมีหลายงานวิจัยที่แสดงให้เห็นตัวอย่างอคติและอัตราความผิดพลาดจากเครื่องมือนี้
การตัดสินใจของเมืองซานฟรานซิสโกนี้ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลายเป็นกรณีตัวอย่างในขณะที่การถกเถียงยังดำเนินต่อไป และเมืองและรัฐอื่นๆ ก็ยังคงตัดสินใจว่าจะใช้และควบคุมระบบรู้จำใบหน้าอย่างไร