ในอนาคตอันใกล้นี้ คุณอาจไม่ต้องไปหาหมอหรือเภสัชกรเพื่อวัดความดันโลหิตอีกต่อไป เพราะนักวิจัยจาก University of Toronto ค้นพบวิธีวัดค่าความดันอย่างแม่นยำด้วยกล้องมือถือของคุณเอง เพียงถ่ายวีดีโอเซลฟี่ก็วัดความดันโลหิตได้แล้ว
Kang Lee นักจิตวิทยาพัฒนาการและ Paul Zheng นักวิจัยจาก University of Toronto ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า เทคโนโลยีถ่ายภาพผ่านผิวหนัง (transdermal optical imaging หรือ TOI) โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า ผิวหน้าคนเรานั้นโปร่งแสง เซนเซอร์ในมือถือสามารถจับแสงสีแดงที่สะท้อนจากฮีโมโกลบินใต้ผิวหนังได้ ซึ่งทำให้ TOI เห็นภาพและวัดความเปลี่ยนแปลงในกระแสเลือดได้
นักวิจัยใช้เทคโนโลยีดังกล่าววิเคราะห์วีดีโอเซลฟี่ความยาว 2 นาที จากกลุ่มคน 1,328 คนที่ใช้กล้อง iPhone ถ่าย เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีมาตรฐานที่ใช้วัดค่าความดันโลหิตแล้ว ระบบสามารถวัดความดันโลหิตสามประเภทได้ด้วยความแม่นยำราว 95 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ TOI ยังสามารถวิเคราะห์ใบหน้าจากวีดีโอที่ถ่ายมาก่อนหน้านี้ได้อีกด้วย
แอปวัดค่าความดันโลหิตมีชื่อว่า Anura ซึ่งเป็นผลงานจากสตาร์ทอัพ Nuralogix ที่ Lee ร่วมก่อตั้ง เมื่อผู้ใช้งานบันทึกวีดีโอเซลฟี่ 30 วินาที ตัวแอปจะให้ข้อมูลมาตรวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักและระดับความเครียด ทางบริษัท Nuralogix วางแผนว่าจะปล่อยแอปนี้ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่จีนในฤดูใบไม้ร่วงนี้ โดยเพิ่มมาตรวัดความดันโลหิตเพิ่มเข้าไปด้วย
ในด้านความเป็นส่วนตัวนั้น Lee กล่าวว่า แอปอัปโหลดผลวิเคราะห์สู่ระบบคลาวด์เท่านั้น ซึ่งไม่รวมวีดีโอเซลฟี่ที่ผู้ใช้งานถ่ายมา ทางบริษัทมีแผนที่จะให้การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพที่ละเอียดมากขึ้นโดยมีค่าบริการรายเดือน ซึ่งทีมงานหวังว่าจะวัดค่าสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วยเทคโนโลยีนี้เช่นกัน เช่น ระดับน้ำตาลกลูโคส ฮีโมโกลบิน และคลอเรสเตอรอล
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังต้องผ่านการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้มีความแม่นยำมากขึ้น ข้อจำกัดของระบบนี้คือ อาจจะยังไม่เหมาะสำหรับใช้งานกับผู้ที่มีสีผิวขาวหรือผิวสี เนื่องจากกลุ่มผู้ร่วมทดลองส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชียตะวันออกหรือชาวยุโรป การเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มผู้ร่วมทดลองน่าจะช่วยปรับปรุงเรื่องความแม่นยำของเทคโนโลยีนี้ได้ ในขณะที่การหาผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือต่ำก็เป็นอีกเรื่องที่ท้าทายเช่นกัน
เทคโนโลยีนี้อาจช่วยผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคความดันโลหิตต่ำได้เพื่อติดตามผลความดันโลหิตโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เฉพาะ อีกทั้งยังช่วยกลุ่มผู้ที่เข้าถึงการสาธารณสุขได้ยาก เช่น ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพียงแค่ติดตั้งคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ ก็สามารถปรึกษาแพทย์และวินิจฉัยได้ในขณะเดียวกัน