ใช้ Smartphone หรือ Tablet ทำงานจากที่บ้านแทน PC ทำอย่างไรได้บ้าง

0

ในภาวะที่หลายๆ ธุรกิจกำลังพิจารณาหาทางออกในการใช้นโยบาย Work from Home ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่พนักงานยังคงทำงานได้เต็มที่เสมือนมาทำงานที่ออฟฟิศอยู่ และเกิดการสั่งซื้อ PC/Notebook เพิ่มท่ามกลางภาวะที่ผู้ผลิตยังไม่สามารถเดินกำลังการผลิตได้ดีนักจนบางแบรนด์สินค้าเริ่มขาด Stock กันไปแล้ว ทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการให้พนักงานทำงานผ่าน Notebook ที่สามารถพกพาไปทำงานที่บ้านนั้น ก็คือการใช้ Smartphone หรือ Tablet ทำงานแทน Notebook อย่างเต็มที่ 100% ไปเลยนั่นเอง ในบทความนี้เราจะพาไปพิจารณาทางเลือกแต่ละทางที่เป็นไปได้กันครับ

1. การใช้ Mobile Application ทำงานแทน Application บน PC/Notebook

ทางเลือกแรกนี้ก็คือการใช้ Mobile Application บน Smartphone หรือ Tablet ทำงานทดแทน Application เดิมที่เคยใช้ทำงานบน PC หรือ Notebook โดยตรงนั่นเอง ซึ่งสำหรับคนที่มีบทบาทเป็น Sales หรือต้องออกไปทำงานนอกออฟฟิศบ่อยๆ ก็คงจะชินกับแนวทางนี้กันอยู่แล้ว โดยตัวอย่างของ Mobile Application ที่สามารถใช้ทำงานได้นั้นมีดังนี้

  • Email Application: Email Client ที่มาพร้อมกับเครื่องบ, Google Gmail, Microsoft Outlook
  • Office Application: Google G Suite, Microsoft Office 365
  • Chat & Collaboration: Google G Suite, Microsoft Teams
  • Video Conference: Microsoft Teams, Google Hangout, Cisco Webex, Zoom
  • ERP, CRM, Business Applications: Mobile App ของแต่ละค่าย

ปัญหาที่มักพบในแนวทางนี้ก็คือ Application ในหมวดหมู่นี้ส่วนใหญ่ถึงแม้จะสามารถใช้ทำงานได้จริง แต่หากต้องใช้ทำงานทั้งวันหรือทำงานทดแทน PC หรือ Notebook อย่างเต็มที่เช่นการป้อนข้อมูล, การเข้าระบบ Business Application เฉพาะบางอย่าง หรือการทำงานที่ต้องสลับหน้าจอระหว่างหลายๆ Application หรือเข้าถึงข้อมูลจากหลายๆ ไฟล์พร้อมกันนั้นก็มักจะไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก ทั้งด้วยประเด็นจากการที่หน้าจอมีขนาดเล็ก, คีย์บอร์ดที่พิมพ์ไม่ถนัด, การ Copy/Paste ข้อมูลที่ทำได้ไม่ดีในบางสถานการณ์ หรือแม้แต่ระบบ Business Application บางระบบในธุรกิจองค์กรที่เก่ามากๆ ก็อาจไม่รองรับการเข้าถึงจากอุปกรณ์เหล่านี้ได้ รวมถึงในบางครั้งก็ยังอาจต้องให้ผู้ใช้งานทำการเชื่อมต่อ VPN ไปใช้งานบาง Application ซึ่งก็เป็นขั้นตอนที่ไม่สะดวกนักในการใช้งานจริง

ดังนั้นทางเลือกนี้ถึงแม้จะสะดวกและง่ายดายที่สุด แต่สำหรับหลายธุรกิจที่มีงานซึ่งมีความซับซ้อนสูงขึ้น การใช้ Mobile Application เพียงอย่างเดียวนักก็ไม่อาจตอบโจทย์ได้อย่างเต็มที่ แต่สำหรับงานทั่วๆ ไปที่ต้องจัดการเอกสารเพียงเล็กน้อยแต่เน้นเรื่องการติดต่อสื่อสารเป็นหลัก แนวทางนี้ก็ถือว่าเหมาะสมไม่น้อย

2. การใช้ Remote Desktop หรือ Virtual Desktop Infrastructure เชื่อมต่อไปยัง PC หรือ Virtual Desktop

แนวทางถัดมาก็คือการใช้เทคโนโลยีอย่าง Remote Desktop หรือ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) เข้ามาจัดการ เชื่อมต่อจาก Smartphone หรือ Tablet เข้าไปยัง PC, Server, Virtual Desktop ในองค์กร หรือ Cloud Desktop นั่นเอง

แนวทางนี้เป็นแนวทางที่หลายๆ ธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่เลือกใช้กัน เนื่องจากในมุมความสะดวกสบายของผู้ใช้งานและการเชื่อมต่อไปยัง Business Application หรือข้อมูลทางธุรกิจที่ถูกจัดเก็บอยู่ภายในองค์กรนั้นมีประสบการณ์แบบเดียวกับการทำงานภายในองค์กร และในมุมของผู้ดูแลระบบ IT นั้นก็สามารถบริหารจัดการได้ง่ายและมีความมั่นคงปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลรั่วไหล

อย่างไรก็ดี แนวทางนี้จริงๆ แล้วอาจจะเหมาะสมกับการทำงานจากที่บ้านในกรณีที่มี PC หรือ Notebook มากกว่า เพราะการใช้งาน Remote Desktop หรือ VDI นั้นหากต้องมีการจัดการกับ Business Application หรือไฟล์จำนวนมาก การทำงานผ่าน Keyboard และ Mouse นั้นก็ยังคงสะดวกกว่า อีกทั้งสำหรับธุรกิจองค์กรที่ไม่เคยวางระบบเหล่านี้มาก่อนเลยและต้องการระบบสำหรับใช้ในนโยบาย Work from Home อย่างเร่งด่วน ก็อาจเป็นการลงทุนที่สูงไม่น้อยทีเดียว ยกเว้นว่าจะหันไปเช่าใช้ Cloud Desktop เป็นหลักแทน

3. การใช้ Smartphone หรือ Tablet เชื่อมต่อจอ ทำงานได้เสมือนมี PC/Notebook

Photo: Samsung

อีกแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้สำหรับผู้ที่ใช้งาน Smartphone หรือ Tablet ที่มีความสามารถเพียงพอ ก็คือการใช้ Smartphone หรือ Tablet นั้นๆ ใน Desktop Mode ที่สามารถเชื่อมต่อ Monitor, Keyboard, Mouse ไปยังอุปกรณ์เหล่านี้ได้โดยตรง และใช้งานได้ด้วยประสบการณ์แบบเดียวกับการใช้งาน PC/Notebook เลย

ตัวอย่างของเทคโนโลยีประเภทนี้ก็ได้แก่ Samsung DeX ที่เราสามารถเชื่อมต่อ Smartphone หรือ Tablet ของ Samsung รุ่นที่มีความสามารถนี้ผ่าน USB-C ไปยัง Dongle เพื่อเชื่อมต่อกับ Monitor, Keyboard, Mouse และใช้งานแบบ Desktop ได้ หรือเชื่อมต่อไปยัง PC/Notebook อยู่และใช้งาน Mobile Application ในประสบการณ์แบบ Desktop บนหน้าต่างย่อยใน PC/Notebook เครื่องนั้นๆ ได้เลย

Samsung DeX นี้ไม่ได้เพียงแค่เปลี่ยนหน้าจอจาก Mobile Application ให้เป็นจอแนวนอนแสดงผลบน Monitor ได้ชัดเท่านั้น แต่ยังยกประสบการณ์เดิมๆ ที่คุ้นเคยบน PC/Notebook มาให้ใช้งานอย่างครบถ้วน ทั้งการเปิดหลาย Application ทำงานได้พร้อมกันในจอเดียว, การใช้ Mouse และ Keyboard ในการจัดการข้อมูลพร้อม Shortcut ที่คุ้นเคยอย่างเช่นการ Copy/Paste หรือการสลับหน้าต่าง, การประชุมผ่านระบบ Video Conference พร้อมเห็นหน้าจอสไลด์ได้อย่างชัดเจน และอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้สำหรับธุรกิจที่มีการใช้งาน Remote Desktop หรือ VDI อยู่แล้วนั้น Smartphone และ Tablet ที่รองรับ Samsung DeX นี้ก็สามารถทำตัวเสมือนเป็น Thin Client ที่ปลอดภัย, เชื่อมต่อ Internet ได้ทั้ง Wi-Fi/4G/5G และเชื่อมต่อ Monitor, Keyboard, Mouse ได้ ทำให้เมื่อเชื่อมต่อไปยัง PC, Virtual Desktop หรือ Cloud Desktop แล้ว ก็สามารถใช้งาน Application บนนั้นได้เสมือนทำงานกับเครื่อง PC จริงๆ เลยนั่นเอง โดย Samsung DeX นี้ก็รองรับการใช้งานได้กับทั้งโซลูชันของ VMware, Citrix, Microsoft Azure และ AWS

อุปกรณ์รุ่นไหนบ้างที่รองรับ Samsung DeX?

สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งาน Samsung DeX ในปัจจุบันนี้หลักๆ ก็มีดังนี้ครับ

  • Smartphone: Galaxy S8, Galaxy S8+, Galaxy S8 Active, Galaxy Note8, Galaxy S9, Galaxy S9+, Galaxy Note9, Galaxy S10, Galaxy S10 5G, Galaxy S10+, Galaxy S10e, Galaxy Note10, Galaxy Note10+, Galaxy Note10 5G, Galaxy Note10+ 5G, Galaxy A90 5G, Galaxy Fold, Galaxy S20, Galaxy S20+, Galaxy S20 Ultra 5G
  • Tablet: Galaxy Tab S4, Galaxy Tab S5e, Galaxy Tab Active Pro, Galaxy Tab S6

ทดลองใช้งานจริงกับ Samsung DeX บน Samsung Galaxy Note 10

เพื่อให้เห็นภาพการใช้งานจริงกันมากขึ้น ทีมงาน TechTalkThai จึงขอทดสอบการใช้งานจริงของ Samsung DeX โดยการใช้งานผ่าน Samsung Galaxy Note 10 เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับ Notebook ที่ใช้งานอยู่กันครับ แน่นอนว่าตามสไตล์ TechTalkThai เราจะไม่อ่านคู่มือใดๆ ก่อนทดสอบ เพื่อให้เห็นภาพของความยากง่ายในการใช้งานจริง และการลองผิดลองถูกในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าครับ

สำหรับคนที่มี USB Dongle สำหรับต่อจอผ่าน HDMI, Keyboard, Mouse นั้นจริงๆ ก็สามารถนำมือถือหรือ Tablet Samsung รุ่นที่รองรับ Samsung DeX ไปต่อตรงๆ เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ได้เลย แต่สำหรับการใช้งานบน Notebook นั้นต้องโหลด Client มาติดต่อก่อนที่ https://www.samsung.com/th/apps/samsung-dex/ ครับ โดยรองรับทั้ง Windows 7/10 และ macOS

หลังจากติดตั้งเสร็จใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เราก็ต้องทำการเชื่อมต่อมือถือ Samsung เข้ากับเครื่อง Notebook หรือคอมพิวเตอร์กันทันทีผ่าน USB-C กดเปิด Permission บนมือถือ และกด Start Session เพียงเท่านี้เราก็จะได้หน้าจอ Samsung DeX ที่นำทรัพยากรและ Application ต่างๆ จากในมือถือมาใช้งานกันบนเครื่องคอมแล้วครับ แอปหลักๆ อย่าง Google หรือ Microsoft และ Web Browser นั้นสามารถเปิดเต็มจอเพื่อทำงานได้อย่างสบาย แอปประชุมงานก็ใช้ได้ ส่วนเกมก็ทดลองเปิดเล่นได้ทำให้สามารถเล่นเกมมือถือไปทำงานไปได้ (อันนี้ไม่ค่อยตรงกับเรื่องทำงานจากที่บ้านเท่าไหร่)

ในการทดสอบพบว่า Shortcut ต่างๆ บน Windows สามารถนำมาใช้บน Samsung DeX ได้เยอะอยู่เหมือนกัน ทั้ง Alt+Tab สำหรับสลับหน้าต่าง, Windows+Tab สำหรับจัดหน้าจอ และอื่นๆ แต่การคลิกเพื่อเปิดแอปหรือไฟล์นั้นมักจะใช้ Double Click เป็นหลัก เหมือนบน PC มากกว่าที่จะเหมือนการใช้ Android ครับ ส่วนการเปลี่ยนภาษาจะใช้ Shift+Space แทน

สิ่งที่ชอบคือการเปิด Full Screen บนจอคอมได้ ทำให้สามารถใช้งาน Samsung DeX ได้เสมือนเป็น PC อีกเครื่องเลย หรือจะใช้เป็นจอเล็กๆ ในคอมเพื่อสลับไปทำงานบน App อื่นใน PC ก็ได้เช่นกันครับ

ส่วนการจัดหน้าจอภายใน Samsung DeX เอง ก็สามารถใช้ Shortcut แบบเดียวกับ Windows เช่น Windows+Right Arrow หรือ Windows+Left Arrow เพื่อจัดหน้าต่างให้มีความสูงเต็มจอแต่มีความกว้างเพียงครึ่งเดียวและอยู่ในตำแหน่งตามปุ่มลูกศรที่เราใช้ได้ ทำให้การจัดหลายหน้าต่างเพื่อทำงานนั้นง่ายดีครับ

สำหรับการจัดการกับไฟล์ ถ้าเปิด Permission แล้วเราก็สามารถ Drag & Drop ไฟล์ข้ามระหว่าง PC กับมือถือได้สบายๆ เลย เพียงแต่ว่าการ Copy ไฟล์จาก PC ไปยังมือถือนั้น ต้อง Drag แล้วไป Drop บนหน้าจอพื้นหลังของ Samsung DeX ไม่ใช่ลากไปวางใน Folder บน My Files นะครับ จากนั้นไฟล์จะไปอยู่ในโฟลเดอร์ Download ให้เองครับ

ส่วนการประชุมงานที่กำลังกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจในการ Work from Home ทางเราก็ได้ทดสอบใช้งาน Zoom ซึ่งก็เรียบร้อยดี แสดงผลจอใหญ่ นำเสนอจากไฟล์ในเครื่องได้ เรียกได้ว่าใช้งานแทน PC/Notebook ในการประชุมได้ดีเลยครับ

อย่างไรก็ดี ในการใช้งานนี้ก็พบจุดที่ควรทราบไว้เช่นกัน คือการเชื่อมต่อนั้นเนื่องจากต้องใช้ USB-C ดังนั้นจึงไม่สามารถเสียบชาร์จไฟไปพร้อมๆ กับใช้งานได้ ยกเว้นจะเสียบเข้ากับคอมที่มีพอร์ตซึ่งชาร์จไฟได้ในตัว แต่กรณีต่อกับจอผ่าน Dongle คงจะไม่สามารถชาร์จไฟไปด้วยได้ครับ

โดยสรุปแล้วการทดสอบนี้ก็ถือว่าราบรื่นและง่ายดายครับ ไม่ได้ติดปัญหาอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าปกติทำงานทุกอย่างผ่านมือถือได้อยู่แล้ว แต่อยู่บ้านอยากใช้จอใหญ่ๆ กับคีย์บอร์ดทำงานจะได้เร็วขึ้น, อยากประชุมงานแบบเห็นหน้าจอใหญ่ขึ้น, มี App กลุ่ม Enterprise Mobile Management พร้อม Workspace หรือ VDI อยู่แล้วและอยากใช้กับจอใหญ่ ก็สามารถใช้ Samsung DeX ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบางองค์กรที่มีการทำ Compliance และไม่อยากให้ข้อมูลหลุดรั่วออกไปยังอุปกรณ์ส่วนตัวอื่นยกเว้นมือถือของพนักงานที่มีการควบคุมผ่าน EMM อยู่แล้ว ก็สามารถใช้ Samsung DeX เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน หรือทำหน้าที่แทน Thin Client ได้ครับ

ส่วนในยามปกติ ถ้าใช้ Samsung DeX คล่องๆ ก็จะทำให้การจัดการกับงานหรือไฟล์บนมือถือด้วยคอมนั้นง่ายขึ้นมากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานตัดต่อวิดีโอ หรือใครที่ต้องตอบแชทบนแอปมือถือบ่อยๆ แล้วรู้สึกพิมพ์ลำบาก เอามาใช้ผ่าน Samsung DeX ก็พิมพ์สัมผัสบนคีย์บอร์ดปกติแทนได้ สะดวกดีครับ

สนใจโซลูชันอุปกรณ์ Smartphone หรือ Tablet สำหรับธุรกิจ ติดต่อทีมงาน Samsung ได้ทันที

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันด้านการนำ Smartphone หรือ Tablet สำหรับนำไปใช้งานกับธุรกิจ หรือระบบบริหารจัดการอุปกรณ์เหล่านี้ให้มีความมั่นคงปลอดภัยและกำหนดค่าการใช้งานต่างๆ ได้จากศูนย์กลาง สามารถติดต่อทีมงาน Samsung Business ได้ทันทีที่โทร 02-118-1000 หรืออีเมล์ [email protected] หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Samsung Business ได้ที่ https://www.samsung.com/th/business/