รายงานข่าวรัฐบาลอิสราเอลได้นำเทคโนโลยี Facial Recognition ของ AnyVision สตาร์ทอัพชื่อดังจากอิสราเอลไปใช้ในการสอดแนมมวลชนในเขต West Bank นั้นนำไปสู่การสืบสวนการนำเทคโนโลยีไปใช้โดยบริษัท Audit ภายนอก ทว่าแม้ผลลัพธ์จะออกมาว่าเทคโนโลยีดังกล่าวถูกใช้ในระบบตรวจตราพรมแดน ที่ไม่ใช่ระบบสอดแนมมวลชน แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็นำไปสู่การเปลี่ยนนโยบายการลงทุนในเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ ที่จะเลิกลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทที่ขายเทคโนโลยี Facial Recognition
Microsoft ตัดสินใจแยกทางกับ AnyVision สตาร์ทอัพอิสราเอลผู้พัฒนาเทคโนโลยี Facial Recognition ที่มีชื่อเสียงของโลก หลังทราบผลการ Audit ที่เป็นผลมาจากรายงานข่าวของ NCB News ว่าด้วยการนำเทคโนโลยี Facial Recognition ไปสอดแนมมวลชนของรัฐบาลอิสราเอล
ผลการ Audit ในครั้งนี้ แม้ไม่พบว่าเป็นการสอดแนมมวลชน แต่ก็ทำให้ไมโครซอฟท์ตระหนักถึงความท้าทายในการเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวสูง โดยไมโครซอฟท์กล่าวว่าการเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยนั้นทำให้ไมโครซอฟท์ไม่สามารถดูแลและควบคุมการนำเทคโนโลยีไปใช้งานได้ ด้วยเหตุนี้ ไมโครซอฟท์ได้เปลี่ยนนโยบายการลงทุนของกองทุน M12 ที่ลงทุนในสตาร์ทอัพทั่วโลก ให้หยุดการลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทที่ขายเทคโนโลยี Facial Recognition และเปลี่ยนเป้าหมายของการลงทุนไปเป็นการลงทุนที่จะช่วยให้ไมโครซอฟท์ดูแลและควบคุมการใช้งานเทคโนโลยีที่อ่อนไหวได้มากยิ่งขึ้น
Facial Recognition นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ผู้คนหยิบยกขึ้นมาหารือและถกเถียงเป็นวงกว้าง ถึงประเด็นอคติในเทคโนโลยี สิทธิ เสรีภาพ และความเป็นส่วนตัวของประชาชน และการสอดแนมมวลชนโดยรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Facial Recognition เป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มถูกนำไปใช้ในการบังคับกฎหมายและการตรวจสอบตัวตน ซึ่งล้วนแต่เป็นงานที่จริงจังที่การผิดพลาดแต่ละครั้งอาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อผู้คนและทรัพย์สินได้มาก
ไมโครซอฟท์แสดงจุดยืนของบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยี Facial Recognition เป็นครั้งแรกในปี 2018 โดย Brad Smith ประธานของไมโครซอฟท์ได้เรียกร้องผ่านแถลงการให้รัฐบาลสหรัฐออกกฎหมายที่ชัดเจนในการกำกับดูแลเทคโลยีดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังได้แถลงถึงหลักการ 6 ข้อ ที่ไมโครซอฟท์จะยึดเพื่อจัดการกับเทคโนโลยี Facial Recognition ได้แก่ ความยุติธรรม ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ การไม่แบ่งแยก การแจ้งเตือนและขอความยินยอม และการสอดแนมอย่างถูกกฎหมาย
การถอนทุนและเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนใน Facial Recognition ในครั้งนี้ จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นอีกขั้นของการแสดงจุดยืนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวของไมโครซอฟท์ตามหลักการที่ได้ให้คำสัญญากับสังคมไว้
ในอนาคต เราอาจมีเทคโนโลยี Facial Recognition ที่ดีขึ้น โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่มีอคติต่อเพศ สีผิว หรือชาติพันธุ์ใดๆ และมีการกำกับดูแลการนำไปใช้อย่างรัดกุมในระดับนานาชาติ แต่หนทางสู่อนาคตเช่นนี้นั้นยังไม่ใกล้ และยังคงมีเรื่องมากมายให้ระแวดระวังเกี่ยวกับ Facial Recognition ในปัจจุบัน