เพื่อเป็นการสนับสนุนการวางมาตรการเพื่อช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ล่าสุดในวันนี้ Google ได้เปิดตัวรายงานแนวโน้มการเข้าใช้สถานที่ต่างๆของผู้คนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด “COVID-19 Community Mobility Report” ซึ่งจัดทำขึ้นจากข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ที่ผู้ใช้อนุญาตให้ Google เข้าถึงได้โดยแบ่งออกตามประเทศและพื้นที่ของข้อมูล และมีสถิติของประเทศไทยรวมอยู่ด้วย
รายงาน COVID-19 Community Mobility Report นี้ Google จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยสร้างความเข้าใจว่าผู้คนภายในพื้นที่นั้นๆมีการตอบสนองต่อนโยบาย Social Distancing ของท้องถิ่นอย่างไร ซึ่ง Google กล่าวว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถในข้อมูลดังกล่าวไปใช้อ้างอิงเพื่อตัดสินใจหรือสร้างมาตรการใหม่ได้ เช่น หากมีเทรนด์ว่าผู้คนเดินทางไปยังสถานีขนส่งมวลชนเยอะขึ้น ก็อาจต้องปรับแก้เวลาในการเดินรถ เรือ และรถไฟ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถรักษาระยะห่างได้อย่างเหมาะสม
รายงานฉบับนี้ Google ใช้วิธีคำนวณเทรนด์ต่างๆในลักษณะเดียวกับฟีเจอร์ Popular Times ที่แสดงอยู่ใน Google Maps โดยกูเกิลจะใช้ข้อมูลที่ถูกลบตัวตนมาคำนวณเป็นอัตราส่วนเปอร์เซนต์โดยไม่บอกตัวเลขที่แท้จริงเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
ในเบื้องต้น Google ได้เผยแพร่รายงาน Community Mobility Report ออกมาสำหรับ 131 พื้นที่ และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยมีเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงในการเคลื่อนที่ เมื่อเทียบกับ Baseline ในช่วงวันที่ 3 มกราคม ถึง 6 กุมภาพันธ์ 2020 ดังนี้
- มีการไปห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจเช่นสวนสนุก โรงภาพยนต์ และพิพิธภัณฑ์ ลดลง 55%
- มีการไปตลาด สถานที่ขายอาหาร ร้านยา ลดลง 27%
- มีการไปสวนสาธาณะ ชายหาด และพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ลดลง 54%
- มีการไปสถานีขนส่งมวลชน เช่น สถานีรถบัสและสถานีรถไฟ ลดลง 61%
- มีการไปสถานที่ทำงาน ลดลง 21%
- มีการอยู่ในที่พักอาศัย เพิ่มขึ้น 16%
Google ระบุว่าจะอัพเดทรายงานเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ และหากเป็นไปได้ ก็จะเพิ่มข้อมูลสำหรับส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานสาธารณสุขให้ได้มากที่สุด โดยในบางพื้นที่ เช่น บางรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็มีการรายงานเทรนด์ละเอียดลงไปในระดับเขต (County)
อย่างไรก็ตาม Google ได้หมายเหตุไว้ว่ารายงานนี้นั้นจัดทำจากข้อมูลที่ผู้ใช้อนุญาตให้เข้าถึง Location History ใน Google Account เท่านั้น ทำให้อาจมีความคาดเคลื่อนและไม่ตรงตามแนวโน้มของผู้คนหมู่มาก
และแม้ Google จะมีการให้การรับรองด้านความเป็นส่วนตัวและมีการใช้เทคนิค Differential Privacy เพื่อป้องกันการระบุตัวตนของผู้คนจากข้อมูล หากท่านใดไม่ต้องการให้ข้อมูลนำไปใช้ ก็สามารถเข้าไปปิดการใช้งาน Location History ได้ใน Google Account หรือลบข้อมูลประวัติการเดินทางทั้งหมดออกได้จากหน้า Timeline