
จากแหล่งข่าว New York Times ทาง Apple ได้สั่งการปิดร้านจำนวน 53 แห่งในรัฐแคลิฟอร์เนียและอีก 16 ร้านทั่วสหราชอาณาจักร รัฐเทนเนสซี บราซิล และเม็กซิโก หลังจากพบยอดติดเชื้อไวรัส COVID-19 พุ่งสูงขึ้นในพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นการปิดร้านขายปลีกครั้งใหญ่รอบที่ 2 ของ Apple หลังจากที่มีการสั่งปิดร้านครั้งใหญ่ทั่วสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา หรือตั้งแต่หลังจากที่มีการเกิดระบาดใหญ่
“เนื่องด้วยสถานการณ์ของไวรัส COVID-19 ในบางพื้นที่ที่ให้บริการ พวกเราจึงปิดร้านค้าชั่วคราวในพื้นที่เหล่านั้น” โฆษกได้กล่าวกับทาง New York Times” พวกเราดำเนินการขั้นตอนนี้ด้วยข้อควรระวังหลายๆ อย่าง ตามที่พวกเราได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพวกเรายังคงต้องการให้ทีมงานและลูกค้าของพวกเรากลับมาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
เมืองลอสแอนเจลิส และที่อื่นๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนียนั้นกำลังถูกไวรัสโคโรนา”โจมตี” โดยเตียง ICU ที่พร้อมรองรับนั้นได้ลดลงไปเหลือเพียง 3% ภายในรัฐ ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา จึงทำให้รัฐต้องประกาศออกคำสั่งให้อยู่บ้านเป็นเวลาอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ซึ่งจะยกเลิกคำสั่งถ้าหากมีเตียง ICU เหลือถึง 15% แล้ว ในขณะเดียวกัน สหราชอาณาจักรก็ออกคำสั่งล็อคดาวน์ออกมาเช่นเดียวกันเนื่องด้วยยอดผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าอาจจะออกมาช้าไปหน่อยก็ตาม