โดย Aloke Barua วิศวกรการตลาดผลิตภัณฑ์ระดับอาวุโส บริษัท ไมโครชิพเทคโนโลยี จำกัด
หนึ่งในเหตุผลทางธุรกิจที่ทำให้บริการระบบคลาวด์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things หรือ IoT) มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ การตรวจติดตามสภาพแวดล้อม เพื่อช่วยจำลองสภาพแวดล้อมการในการเพาะปลูกพืชต่างถิ่น เช่น ผลไม้ ถั่ว ผัก และสมุนไพร ให้มีความเสถียร เครือข่าย IoT ที่เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์จะทำให้สามารถใช้งานระบบจัดการขั้นตอนก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวในการทำพืชสวนและการเพาะปลูกได้ ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการปลูกพืชภายใต้การควบคุมสภาพแวดล้อม (Controlled Environmental Agriculture หรือ CEA) ที่มีจริยธรรม ยั่งยืน และสร้างผลกำไร ระบบเหล่านี้จะใช้เซนเซอร์ IoT ในการตรวจวัดและรายงานข้อมูลสภาพแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงออกคำสั่งหรือสั่งการเมื่อต้องมีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ผู้เพาะปลูกจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการเลือกใช้งานระบบเหล่านี้ให้ดีที่สุด รวมถึงเข้าใจในความจำเป็นที่จะต้องติดตั้งเทคโนโลยีการเข้ารหัสและยืนยันตัวตน เพื่อไม่ให้แฮกเกอร์สามารถเข้าควบคุมระบบ ทำลายการปฏิบัติงาน หรือขโมยข้อมูลสำคัญไปได้
ประโยชน์สำหรับการเพราะปลูกพืชต่างถิ่นและการเพาะปลูกในร่ม
ก่อนจะศึกษาวิธีพัฒนาระบบการเพาะปลูกพืชต่างถิ่นที่เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจถึงประโยชน์ของการเพาะปลูกในร่ม ซึ่งประโยชน์หลักๆ สามประการมีดังนี้
1.มีผลผลิตที่พร้อมส่งมอบมากกว่า
ความต้องการในผลไม้ ถั่ว ผัก และสมุนไพรทั่วโลกที่ไม่ใช่พืชท้องถิ่นจะได้รับการตอบสนองได้รวดเร็วกว่าและมีประสิทธิภาพกว่า หากพืชเหล่านั้นปลูกในพื้นที่ท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยลดระยะทางในการขนส่งอาหารได้อีกด้วย ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าการลดระยะทางในการขนส่งอาหารนี้จะไม่ลดดัชนีการเกิดคาร์บอน แต่ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางอาหารและความพร้อมของผลผลิตที่หากไม่ปลูกในท้องถิ่น ก็จะต้องขนส่งระยะไกลมาจากที่อื่น ประโยชน์อื่นๆ ที่จะได้รับนั้นรวมถึงฤดูกาลเพาะปลูกที่นานขึ้น ซึ่งทำให้สามารถส่งมอบพืชพรรณเพื่อเป็นอาหารได้ตลอดทั้งปี และทำให้การผลิตอาหารทั่วโลกดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ถึงแม้สภาพอากาศของโลกจะคาดเดายาก
2. ลดการทำลายถิ่นฐานธรรมชาติ
การปลูกพืชที่ไม่ใช่ชนิดเมล็ดในแบบ CEA หรือในร่มมากขึ้น สามารถลดการทำลายถิ่นฐานธรรมชาติได้เช่นกัน ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ก็มีเหตุผลที่มีน้ำหนักที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมเกษตรกรรมจึงเป็นภัยต่อถิ่นฐานธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ผู้คนมักมองข้าม โดยส่วนมากมักจะมองว่าการพัฒนาที่ดินและการตัดไม้ทำลายป่าของอุตสาหกรรมตัดไม้เป็นภัยมากกว่า จากข้อมูลขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wide Fund for Nature หรือ WWF) “โลกเสียพื้นที่ป่าไป 18.7 ล้านเอเคอร์ต่อปี” เนื่องจากปัจจัยหลักทั้งสามประการดังกล่าว และ “พื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยได้ราว 50 เปอร์เซ็นต์ของโลกได้ถูกใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม” โดยการใช้พื้นที่หลักๆ จะรวมถึงการสร้างที่อยู่ให้กับปศุสัตว์ การปฏิบัติงานทางเกษตรกรรมขนาดใหญ่ และการเพาะปลูกผักและธัญพืชเพื่อรองรับการบริโภคของมนุษย์ โดยมากกว่าหนึ่งในสามเป็นการผลิตพืชอาหารสำหรับปศุสัตว์ เช่น ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง และถั่วเหลือง
ในปัจจุบัน เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เทคนิคเกษตรกรรมที่ใช้พื้นที่ไพศาลเป็นเกษตรกรรมที่ไม่ยั่งยืน
3.อาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
นอกจากจะลดการใช้พื้นที่สำหรับเทคนิคเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมแล้ว CEA และการเพาะปลูกในร่มยังช่วยส่งเสริมอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับได้ชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้มนุษย์จะสามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ แต่จะได้รับประโยชน์มากกว่าหากรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยพืชผัก ผลไม้ และถั่ว โดยรับประทานเนื้อในปริมาณน้อย เมื่อผู้คนหันมารับประทานอาหารในสัดส่วนนี้มากขึ้น การผลิตอาหารสำหรับปศุสัตว์จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับประชากรโลก นอกจากนี้ การรับประทานพืชผักมากขึ้นและบริโภคเนื้อน้อยลงยังสามารถลดปริมาณการเลี้ยงปศุสัตว์ได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยลดความต้องการในการขนส่งอาหาร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization หรือ FAO) ปศุสัตว์ทั่วโลกผลิตก๊าซเรือนกระจกที่มีปริมาณคิดเป็น 14.5 เปอร์เซ็นต์ของก๊าซเรือนกระจกที่ผลิตโดยมนุษย์
CEA และการเพาะปลูกในร่มยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และถึงแม้แนวทางที่ใช้กันทั่วไปจะเป็นการติดตั้งและใช้งานโครงสร้างในร่ม เช่น เรือนกระจกในพื้นที่กว้าง แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในการใช้โครงสร้างเกษตรกรรมแนวตั้ง ซึ่งรวมถึงโรงงานที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่หรือคลังสินค้าที่มีหลายชั้น เกษตรกรรมแนวตั้งนี้จะทำให้การใช้งานที่ดินและการเพาะปลูกพืชต่างถิ่นมีประสิทธิภาพและให้ผลดีมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เกษตรกรรมแนวตั้งยังเหมาะกับการเลี้ยงสัตว์ปีก ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการเลี้ยงปศุสัตว์ชนิดอื่นเพื่อเอาเนื้อ
มีหลายสิ่งที่ต้องทำก่อนที่จะดำเนินการ CEA และการเพาะปลูกในร่ม ในการสร้างและคงสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับพืชต่างถิ่นผู้เพาะปลูกจะต้องตรวจติดตามตัวแปรต่างๆ เสมอ เช่น ความร้อน แสงไฟ ความชื้นของอากาศ ความชื้นในดิน และธาตุอาหารในน้ำในกรณีที่ปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์หรือแอโรโปนิกส์ ผู้ผลิตที่เอาจริงเอาจังในการเพาะปลูกจะมีอาคารหลายหลังที่ใช้สร้างสภาพแวดล้อมปิด ซึ่งในแต่ละหลังจะต้องปรับสภาพแวดล้อมการเพาะปลูกให้เหมาะสมที่สุด โดยจะทำเช่นนี้ได้ ต้องใช้เซนเซอร์ที่เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ หรือเซนเซอร์ที่ตรวจวัดระดับสภาพแวดล้อมเป็นระยะอย่างต่อเนื่องและรายงานข้อมูลไปยังสถานีตรวจติดตามส่วนกลาง
การติดตั้งและใช้งานระบบที่ดีที่สุด
ขั้นแรกคือการสร้างล็อกของสภาพแวดล้อมกลางแจ้งในท้องถิ่นและต่างถิ่น ที่จะใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเมื่อจำเป็น
ในขั้นต่อไป จะต้องเลือกว่าจะใช้เครือข่ายประเภทใด ทั้งนี้ เนื่องจาก IoT สำหรับเซนเซอร์เชื่อมต่อมีพร้อมใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ ก็สมเหตุสมผลที่จะใช้เครือข่ายที่ควบคุมด้วยฮับศูนย์กลางหรือเกตเวย์ที่สื่อสารกับเครื่องควบคุมหรือคอมพิวเตอร์ (ดูภาพประกอบ 1) เครื่องควบคุมจะใช้ในการอัปโหลดข้อมูลลงคลาวด์เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ต่อไป ทั้งนี้ สามารถใช้ได้ทั้งบริการระบบคลาวด์ที่จดสิทธิบัตรหรือเสนอขายโดยซัพพลายเออร์ที่ได้รับการยอมรับหรือซัพพลายเออร์หน้าใหม

ภาพประกอบ 1: การใช้งานระบบ IoT โดยทั่วไป
ผู้เพาะปลูกอาจพิจารณาว่าไม่จำเป็นต้องตอบสนองต่อข้อมูลเซนเซอร์ในทันที ในกรณีเช่นนี้ ระบบคลาวด์อาจออกคำสั่งหรือสั่งดำเนินการภายในกรอบเวลาที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม หากกำหนดให้มีเวลาแฝงขั้นต่ำหรือไม่มีเลยระหว่างช่วงเวลาส่งข้อมูล และคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางออกคำสั่งหรือสั่งดำเนินการ ผู้เพาะปลูก/ผู้ผลิตสามารถใช้ขั้นตอนระหว่างกลาง โดยใช้เครื่องควบคุมเอดจ์ระหว่างเกตเวย์และระบบคลาวด์ได้ เพื่อเร่งเวลาจากการวิเคราะห์สู่การดำเนินการ สุดท้ายแล้ว ยิ่งสภาพแวดล้อมได้รับการควบคุมอย่างแม่นยำมากเท่าใด พืชผลก็จะเติบโตได้ดีขึ้นเท่านั้น
การใช้งานเอดจ์คอมพิวติ้งสามารถแยกได้เป็นส่วนหลังบ้าน (Back-end) และหน้าบ้าน (Front-end) โดยแต่ละส่วนมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงการผลิตพืชผลในสภาพแวดล้อมแบบปิด ส่วนหลังบ้านจะมีองค์ประกอบของเอดจ์คอมพิวติ้งและคลาวด์คอมพิวติ้ง ขณะที่ส่วนหน้าบ้านจะมีองค์ประกอบของเครือข่ายเซนเซอร์และเกตเวย์ ทั้งนี้ ในอนาคตจะเกิดระบบนิเวศน์ของซัพพลายเออร์ฮาร์ดแวร์และผู้บูรณาการระบบเพื่อส่งมอบองค์ประกอบที่จำเป็นในการสนับสนุนสถาปัตยกรรมของโซลูชันนี้เพื่อเพิ่มตัวเลขการใช้งาน IoT ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือเครือข่ายเซนเซอร์ เนื่องจากเครือข่ายนี้จะจัดวางใกล้กับพืชมากที่สุด และทำหน้าที่ตรวจติดตามสภาพแวดล้อมของพืชและเก็บข้อมูลเพื่อส่งไปยังเกตเวย์ ทั้งนี้ เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันที่โหนดเซนเซอร์แต่ละตัวจะต้องมีความเรียบง่าย วางใจได้ ใช้งานง่าย และทำงานโดยใช้พลังงานต่ำเพื่อเพิ่มอายุแบตเตอรี่ ทั้งยังสามารถสื่อสารกับเกตเวย์และผู้ให้บริการระบบคลาวด์ โดยใช้วิธีการเชื่อมต่อไร้สายที่หลากหลาย
วิธีเชื่อมต่อไร้สายที่น่าใช้คือบลูทูธพลังงานต่ำ® (Bluetooth® Low Energyหรือ BLE) หรือมาตรฐาน Wi-Fi 802.11ah พลังงานต่ำ® แบบใหม่ ซึ่งจะทำให้โซลูชั่นสามารถทำงานภายใต้ย่านความถี่อิสระ (Unlicensed Band) และสื่อสารในระยะทางปกติ คือ 10-100 เมตรในพื้นที่เพาะปลูกในร่ม มาตรฐาน 802.11ah มีระยะส่งสัญญาณไกลที่สุด คือมากถึง 1 กิโลเมตร (กม.) อัตราข้อมูลของ BLE และ Wi-Fi 802.11ah คือ 10 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps) ถึง 10 Mbps และ 50 Kbps – 100 Kbps ตามลำดับ ทำให้ได้แบนด์วิดท์ที่กว้างสำหรับข้อมูลตัวแปรต่างๆ ที่กำลังตรวจวัด
โหนดเซนเซอร์จะต้องมีความปลอดภัยอย่างมาก เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ อุตสาหกรรมการเพาะปลูกในร่มหรือ CEA ขนาดใหญ่จะมีเกษตรกรหรือกลุ่มบริษัทเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก ข้อมูลใดๆ ที่สามารถช่วยให้ซัพพลายเออร์รายหนึ่งได้เปรียบในการแข่งขันกับซัพพลายเออร์รายอื่นจะมีคุณค่าในการสร้างกำไรสูง ความต้องการและความสามารถในการแฮ็กเครือข่ายไร้สายเพื่อชิงข้อมูลที่สร้างความได้เปรียบนั้นได้รับการยอมรับ มองเห็น และเข้าใจ ว่ามีอยู่จริง วิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงคือการใช้โซลูชั่นที่ใช้ฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ซึ่งสามารถเข้ารหัสและยืนยันตัวตนได้ทั้งข้อมูลและโหนด ทั้งนี้ วิธีที่ใช้เฟิร์มแวร์หรือซอฟต์แวร์นั้นเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางแล้วว่าป้องกันแฮ็กเกอร์ได้ไม่ดี
ผู้ออกแบบและผู้ผลิตโหนดเซนเซอร์จะสร้างผลิตภัณฑ์ของตนโดยใช้โซลูชั่นด้านซิลิคอน ที่จะช่วยให้ระบบที่สร้างเสร็จใช้งานง่าย เป็นแบบโมดูลาร์ และสามารถอัปเดตได้ ทั้งยังทำงานโดยใช้พลังงานต่ำ มีความปลอดภัยสูง และยืดหยุ่นในการรองรับทางเลือกการเชื่อมต่อไร้สายต่างๆ ซัพพลายเออร์เหล่านี้จะทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำเช่นกัน ทั้งนี้ หากโซลูชั่นจะต้องทำงานได้โดยไม่สนระบบคลาวด์ (Cloud-agnostic) ซัพพลายเออร์ควรมีความสามารถในการปรับแต่งโซลูชั่นให้สามารถสื่อสารกับระบบคลาวด์ที่จดสิทธิบัตรที่มีคุณสมบัติจำเป็นครบถ้วน
ตัวอย่างหนึ่งของโซลูชั่นประเภทนี้คือแพลทฟอร์มพัฒนา Google Could IoT Core ซึ่งผลิตโดย Microchip Technology (ดูภาพประกอบ 2 และ 3) บอร์ดที่พัฒนาแล้วประกอบด้วยไมโครคอนโทรเลอร์, Secure Element, และตัวควบคุมโครงข่าย Wi-Fi เพื่อให้การเชื่อมต่อโหนดเซนเซอร์เข้ากับแพลทฟอร์ม Cloud IoT Cor ของ Google เป็นไปอย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพที่สุด ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับ Google Cloud ซึ่งได้รับการ Pre-provision มาพร้อมกับบัญชีทดลองซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือการทดสอบเสมือนจริง เพื่อดูข้อมูลแสงและอุณหภูมิ ทั้งนี้ สามารถติดเซนเซอร์เพิ่มเติมได้โดยใช้บอร์ด Click™ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายจาก MikroElektronika เพื่อให้สามารถเพิ่มคุณสมบัติให้กับระบบเซนเซอร์ได้อย่างง่ายดาย


ภาพประกอบ 3: บอร์ดพัฒนา PIC-IoT WG มี MCU PIC® ที่ใช้พลังงานต่ำพิเศษ (XLP), Secure Element, และตัวควบคุม
โครงข่าย Wi-Fi
วิธีที่ดีกว่าในการผลิตอาหารให้แก่โลก
CEA และการเพาะปลูกในร่มสามารถช่วยให้การผลิตอาหารทั่วโลกมีความปลอดภัย วางใจได้ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสร้างรอยเท้าภูมิศาสตร์ (Geographic Footprint) น้อยกว่าเกษตรกรรมดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ในการทำสิ่งนี้ให้เป็นจริง จะต้องมีเทคโนโลยีตรวจติดตามสภาพแวดล้อม ซึ่งสามารถช่วยให้สภาพแวดล้อมการเพาะปลูกพืชต่างถิ่นปริมาณมหาศาลในร่มมีความเสถียร เครือข่ายเซนเซอร์คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากสามารถเก็บและส่งข้อมูลตรวจติดตามสภาพแวดล้อมไปยังคลาวด์และดึงข้อมูลจากคลาวด์ได้ เพื่อใช้ในการประมวลผลและวิเคราะห์ นอกจากนี้ โซลูชั่นการพัฒนาอย่างรวดเร็วยังได้รับการเปิดตัวโดยผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้ โดยมอบวิธีการรองรับโซลูชั่นด้าน CEA และการเพาะปลูกในร่มที่เรียบง่ายและยืดหยุ่น
อภิธานศัพท์เทคนิค
เกษตรกรรม: ศาสตร์หรือการดำเนินงานด้านการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งรวมถึงการเพาะปลูกพืชบนดินและการเลี้ยงสัตว์เพื่อผลิตอาหาร ขนสัตว์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งนี้ ส่วนมากแล้ว เกษตรกรรมจะทำบนพื้นที่กว้างขวาง
การทำพืชสวน: ศาสตร์หรือการดำเนินงานด้านการเพาะปลูกผลไม้ สมุนไพร ผัก ถั่ว และไม้ดอกไม้ประดับ โดยทั่วไปแล้ว การทำพืชสวนจัดเป็นแขนงย่อยของเกษตรกรรม และมีประวัติและการพัฒนาควบคู่กับเกษตรกรรมมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี การทำพืชส่วนต่างจากเกษตรกรรมตรงที่งานพืชสวนจะปฏิบัติในพื้นที่ปิดที่มีขนาดเล็กกว่า และมักจะเกี่ยวข้องกับพืชหลากหลายชนิด ขณะที่เกษตรกรรมจะเน้นการเพาะปลูกพืชเพียงชนิดเดียว ทั้งนี้ การทำพืชสวนปริมาณมากเพื่อสร้างผลกำไร อาจจะต้องเน้นปลูกพืชหนึ่งชนิดต่อหนึ่งโครงสร้างปิด เพื่อลดความแตกต่างของสภาพแวดล้อมการเพาะปลูกสำหรับพืชแต่ละชนิด และลดความซับซ้อนของระบบพื้นฐานที่สนับสนุนการเพาะปลูก
การปลูกพืชภายใต้การควบคุมสภาพแวดล้อม (CEA): แนวทางการใช้เทคโนโลยีในการผลิตอาหาร เป้าหมายของ CEA คือการปกป้องและคงสภาพการเพาะปลูกพืชตลอดระยะการเติบโต การผลิตจะอยู่ในโครงสร้างการเพาะปลูกระบบปิด เช่น เรือนกระจกหรืออาคาร พืชมักจะเพาะปลูกโดยใช้วิธีไฮโดรโปนิกเพื่อให้น้ำและธาตุอาหารในปริมาณที่เหมาะสมแก่เขตรากพืช CEA ช่วยให้การใช้ทรัพยากรต่างๆ เช่น น้ำ พลังงาน พื้นที่ ทุน และแรงงาน ให้ประสิทธิผลสูงสุด เทคโนโลยี CEA จะรวมถึงการเพาะเลี้ยงพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ การเพาะเลี้ยงพืชในน้ำ และการเพาะเลี้ยงพืชแบบอควาโปนิกส์ ตัวแปรควบคุมจะรวมถึงอุณหภูมิ (อากาศ สารละลายธาตุอาหาร เขตรากพืช) ความชื้น (%RH) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แสง (ความเข้ม สเปกตรัม ช่วงแสง) ความเข้มข้นของธาตุอาหาร (หนึ่งส่วนในล้านส่วนหรือ PPM และค่าการนำไฟฟ้าหรือ EC) ปุ๋ย และ pH ธาตุอาหาร (ความเป็นกรด) สิ่งก่อสร้าง CEA อาจมีตั้งแต่เรือนกระจกอัตโนมัติเต็มรูปแบบซึ่งมีการควบคุมจากคอมพิวเตอร์ในการให้น้ำ ให้แสง และระบายอากาศ ไปจนถึงโซลูชั่นที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น พลาสติกใสหรือมุ้งที่ใช้คลุมแปลงพืช และอุโมงค์ที่มีพลาสติกคลุม
เกษตรกรรมแนวตั้ง: การดำเนินงานผลิตอาหารในลำดับชั้นแนวตั้ง เช่น ในตึกระฟ้า โกดัง หรือตู้คอนเทนเนอร์ และการควบคุมปัจจัยแวดล้อมโดยใช้เทคนิคการเพาะปลูกในร่มและเทคโนโลยี เทคนิคเกษตรกรรมแนวตั้งมักจะคล้ายกับเรือนกระจก โดยขยายแสงแดดธรรมชาติด้วยไฟเทียมและเหล็กสะท้อนแสง
คลาวด์: เป็นคำเปรียบเปรยสำหรับอินเทอร์เน็ต ระบบคลาวด์ทำหน้าที่เก็บข้อมูลในเซิร์ฟเวอร์ที่จับต้องได้หรือเซิร์ฟเวอร์เสมือนจริง ที่รักษาและควบคุมโดยผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง เช่น Amazon ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ AWS, Microsoft® ที่ใช้ Azure และ Google ที่ใช้บริการ Google Cloud Platform™ (GCP) ของตน
คลาวด์คอมพิวติ้ง: การแบ่งปันทรัพยากร ซอฟต์แวร์ และข้อมูลผ่านเครือข่ายที่เป็นสาธารณะ ส่วนตัว หรือไฮบริด เพื่อให้บริษัทต่างๆ สามารถลดค่าโสหุ้ยโดยการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ในธุรกิจของตนแบบเสมือนจริง เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และเป็นประโยชน์สำหรับการใช้งานที่เวลาปฏิกิริยาตอบสนองไม่มีส่วนสำคัญ
เอดจ์คอมพิวติ้ง: กระบวนการประมวลผลข้อมูลที่ขอบเครือข่ายซึ่งใกล้กับแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อลดเวลาการเดินทางไปกลับระหว่างคลาวด์และความหน่วง (Latency) ที่เกี่ยวข้องหรือการสื่อสารกับแบนด์วิดท์ เอดจ์คอมพิวติ้งมักจะใช้ในโซลูชั่น IoT อุตสาหกรรม (Industrial IoT หรือ IIoT) ที่ต้องมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เอดจ์คอมพิวติ้งและคลาวด์คอมพิวติ้งเป็นส่วนเสริม และสามารถใช้ร่วมกันได้ โดยขึ้นอยู่กับกรณีการใช้งาน
IoT: ย่อมาจาก Internet of Things หรือที่ภาษาไทยแปลว่า “อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง” โดยพื้นฐานแล้ว IoT หมายถึงการเชื่อมต่อวัตถุในชีวิตประจำวันเข้ากับอินเทอร์เน็ตและวัตถุอื่น ซึ่งรวมถึงเซนเซอร์และตัวกระตุ้นที่เชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่าย
ทั้งนี้ เมื่อรวมอุปกรณ์เหล่านี้กับระบบอัตโนมัติ เราจะสามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพิจารณาการดำเนินการต่างๆ ได้