กฟผ. ร่วมกับ ไอบีเอ็ม เดินหน้าติดตั้งระบบบริหารจัดการงานบำรุงรักษาสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ในโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ กฟผ. ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด ตามนโยบาย Carbon Neutrality ช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วยการบริหารจัดการสินทรัพย์ของโรงไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายไพฑูรย์ ตั้งจิตร่วมบุญ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ. ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทันสมัยมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของ กฟผ. ในหลากหลายมิติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นดิจิทัล รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างราบรื่น รวมถึงลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าของประชาชน ซึ่งในส่วนของงานบำรุงรักษา กฟผ. ร่วมกับบริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด (ไอบีเอ็ม) นำระบบบริหารจัดการงานบำรุงรักษาสมัยใหม่ (Maintenance Management System : MMS) ด้วยเทคโนโลยี AI ติดตั้งในโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ทำให้สามารถวางแผนบริหารจัดการสินทรัพย์ของโรงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ลดการจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่และการใช้พื้นที่จัดเก็บอุปกรณ์โดยไม่จำเป็น รวมถึงช่วยยืดอายุการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ เนื่องจากระบบ MMS สามารถคาดการณ์อายุการใช้งานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของโรงไฟฟ้าได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ พร้อมทั้งมีระบบติดตามและแจ้งเตือนเมื่อพบการทำงานผิดปกติช่วยป้องกันการหยุดทำงานของระบบโดยไม่คาดคิด รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลไปยังทุกโรงไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ กฟผ. จึงได้ขยายผลติดตั้งตั้งระบบ MMS ไปยังโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ กฟผ. ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามนโยบาย Carbon Neutrality ภายใต้หลักการสร้างสมดุลระหว่างต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศอย่างยั่งยืน
นายสุรฤทธิ์ วูวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มเทคโนโลยี บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า
“ปัจจุบันองค์กรต้องสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์และบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ โดยใช้ข้อมูลแบบรวมศูนย์ที่ผนวกรวมจากอุปกรณ์เกี่ยวข้องทั้งหมดแบบเรียลไทม์ สิ่งสำคัญที่สุดคือในการตัดสินใจลงทุน ต้องให้ความสำคัญกับมิติด้านความยั่งยืน วันนี้ กฟผ. ได้ก้าวเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ก้าวล้ำครบทั้งสามมิติ ทั้งในแง่การขยายการใช้งานในระดับใหญ่ขึ้น การดำเนินการอย่างยั่งยืน รวมถึงการใช้งานระบบบริหารจัดการได้จากทุกที่ ทุกเวลา และจากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ และไม่เพียงเป็นผู้นำระบบนี้ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้นำในภูมิภาคอาเซียนด้วย”