ในช่วงที่ผ่านมา คำว่า Metaverse ได้กลายเป็น Buzzword ที่มีคนพูดถึงกันเป็นกระแสระดับโลก แต่พักหลัง ๆ ดูเหมือนว่าวิกฤตเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของโลกจะส่งผลกระทบทำให้พัฒนาการของเทคโนโลยีนี้ชะลอตัวลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะหยุดเดินไปเสียหมดทุกอย่าง จากข่าวสารที่เริ่มเห็นภาคธุรกิจในโลกความจริงได้ทยอยตบเท้าเข้าลงทุนในโลก Metaverse มาเป็นระยะ ๆ รวมทั้งวงการการศึกษาก็เช่นกันที่จะเห็นว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งเริ่มเตรียมการเปิดตัว Metaverse สำหรับการเรียนการสอนแล้ว
แล้ววงการการศึกษาไทยกับเรื่อง Metaverse นั้นเป็นอย่างไร? ล่าสุด วันที่ 2 สิงหาคม 2022 ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนิมิตหมายอันดีที่เราได้เห็น “Aniverse Metaverse” ประกาศความร่วมมือกับ 17 มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับประเทศ พร้อมทั้งผนึกกับ “xCHAIN” เพื่อร่วมกันสร้างอาณาจักร Metaverse สำหรับการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในไทย ซึ่งจากที่ทีมงาน ADPT.news ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานแถลงและพูดคุยกับผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของโครงการนี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่าโครงการ Aniverse นี้น่าสนใจอย่างมาก และอยากจะชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับโครงการ Aniverse กันให้มากขึ้นในบทความนี้
ความเหลื่อมล้ำในวงการการศึกษาไทย
สำหรับภาคการศึกษาของไทย เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะเห็นถึง “ความเหลื่อมล้ำ” ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่มากก็น้อย เพราะว่าการเรียนการสอนที่จำเป็นต้องปรับมาสู่การเรียนออนไลน์กันเกือบทั้งหมดเพื่อสกัดการแพร่ระบาดให้หยุดลงไปให้ได้นั้น ได้ส่งผลให้คุณครูและเด็กนักเรียนนักศึกษาบางกลุ่มที่ขาดแคลนอุปกรณ์และเทคโนโลยีไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้
ถึงปัจจุบันแม้สถานการณ์ของ COVID-19 จะดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่ความเหลื่อมล้ำก็ยังคงมีประเด็นอื่น ๆ อยู่ดี โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ต้องประสบปัญหาทั้งเรื่องคุณครูผู้สอนที่ไม่เพียงพอ สื่อการสอนที่ขาดแคลน หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เข้าไม่ถึง จึงทำให้ทุกปีมีเด็กนักเรียนไทยที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ว่าปัญหานี้ไม่อาจแก้ไขได้อย่างทันทีทันใด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เริ่มเห็นแสงสว่างว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอาจถูกแก้ไขได้ในประเทศไทย นั่นคือโครงการ “Aniverse” ที่เลือกนำเอาเทคโนโลยี Metaverse มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างเป็นโลกเสมือนแห่งการเรียนรู้ ซึ่งอาจจะทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในประเทศไทยลดลงไปได้ในวันหนึ่ง
“ทุกปีจะมีเด็กที่หลุดจากวงจรการศึกษาไป จากการศึกษาในปี 2021 พบว่ามีตัวเลขถึง 65,000 คน ซึ่งอาจจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปอีก” คุณโธมัส พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ครีเอทีฟ ดิจิทัล ลีฟวิ่ง จำกัด กล่าว “Aniverse จึงอยากจะลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในอีกแนวทางหนึ่ง แม้ว่าจะมีอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจยังมองไม่เห็นภาพว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรตอนนี้ แต่เราก็ควรจะต้องก้าวข้ามความกลัวทั้งหลายไปก่อน แล้วค่อย ๆ แก้ไขปัญหาทีละจุดกันไป ไม่เช่นนั้นอะไรใหม่ ๆ ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น”
“Aniverse” Metaverse สัญชาติไทยแท้
Aniverse Metaverse เป็นโลกเสมือนสัญชาติไทยที่พัฒนาโดยบริษัท ครีเอทีฟ ดิจิทัล ลีฟวิ่ง จำกัด เป็นโครงการที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยเป้าหมายต้องการสร้างโลกเสมือนเพื่อทำลายข้อจำกัดต่าง ๆ นานาในโลกความเป็นจริง และหนึ่งในนั้นคือการเป็น “พื้นที่แห่งการเรียนรู้ (Education Zone)” ด้วยรูปแบบ Edu GameFi และ Learning Management System (LMS) ผ่านกิจกรรมตามที่ครูอาจารย์สร้างขึ้นมา ซึ่งผู้เรียนจะมีอวตาร (Avatar) ส่วนตัวในรูปแบบ 2D หรือ 3D เพื่อเป็นตัวแทนเสมือนในการทำกิจกรรมต่าง ๆ บนโลก Aniverse

จะเห็นได้ว่ารูปแบบการเรียนการสอนใน Aniverse จะแตกต่างจากแบบปกติดั้งเดิมที่เรียนตามหนังสือหรือว่าหน้าจอสไลด์ โดยจะขึ้นอยู่กับไอเดียสร้างสรรค์ในการสอนของครูอาจารย์ว่าจะทำให้นักเรียนนักศึกษาเข้าใจในเนื้อหาได้อย่างไร เช่น สร้างมินิเกม (Mini Game) หรือภารกิจ (Task) ที่จะต้องพิชิตรายวันเหมือนเล่นเกม Role Playing Game (RPG) และเมื่อทำสำเร็จก็จะได้รับของรางวัลเป็น Non-Fungible Token (NFT) และค่าประสบการณ์ (Exp) ที่เป็นตัวยืนยันว่าทำสำเร็จแล้ว

ฝั่งผู้เรียนที่ได้ NFT มานั้นจะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือว่าใช้แต่งรูปลักษณ์ให้กับอวตาร (Avatar) ส่วนตัวได้ ส่วนในฝั่งอาจารย์เองนอกจากมีระบบ AI ช่วยเตรียมการสอน ตรวจงาน และประเมินพฤติกรรมนักศึกษาแล้ว ก็ยังมีโอกาสได้รับ NFT คล้าย ๆ แบบที่ผู้เรียนได้เช่นกัน ซึ่งรายละเอียดอื่น ๆ สามารถอ่านได้ที่ Whitepaper ของ Aniverse Metaverse ได้ที่นี่
ผนึก xCHAIN, I AM Consulting, Join Application เสริมแกร่งอย่างยั่งยืน
แน่นอนว่าเบื้องหลังของ Aniverse Metaverse แห่งนี้จะมีการใช้งาน Blockchain สำหรับสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ “xCHAIN” แพลตฟอร์ม Blockchain ที่ไม่แสวงหาผลกำไรจากความร่วมมือขององค์กรผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ J Ventures ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีในเครือกลุ่มบริษัทเจมาร์ท I AM Consulting บริษัทที่ปรึกษาและพัฒนาระบบไอทีสำหรับองค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรม
โดย xCHAIN จะใช้รูปแบบ Proof of Authority (PoA) ที่จะอ้างอิง “ผู้ที่มีอำนาจ” ในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม ซึ่งจุดเด่นของ xCHAIN นี้คือค่าแก๊ส (Gas Fee) ที่ต่ำมาก ๆ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10-25 สตางค์เท่านั้น และผู้สร้างเชนตั้งใจทำให้ราคาไม่มีผันผวนใด ๆ อีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้เองคือโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่สำคัญมาก ๆ ที่มาเสริมให้ Aniverse Metaverse เติบโตขึ้นได้อย่างยั่งยืน เพราะการมีต้นทุน Gas Fee ที่ต่ำและไม่ผันผวน จะทำให้ค่าใช้จ่ายการใช้งาน Blockchain สามารถจับต้องได้และประเมินได้ล่วงหน้า ซึ่งหากไปใช้งานบน Ethereum เชนระดับโลกที่ค่า Gas Fee สูงมาก ๆ ก็ไม่อาจทำให้ชุมชนในโลก Aniverse เติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ อีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญนั่นคือกระเป๋าดิจิทัล (Digital Wallet) ที่จำเป็นจะต้องมีในการใช้งาน Blockchain ซึ่งส่วนนี้ Join Application กระเป๋าดิจิทัลที่สามารถยืนยันตัวตนได้ตามมาตรฐาน NDID แล้วก็ได้เข้ามาผนึกกำลังกับ Aniverse เป็นที่เรียบร้อยด้วยเช่นกัน ส่งผลให้สามารถเชื่อมต่อบริการ DApp ต่าง ๆ กับผู้ใช้งานกว่า 8 แสนรายสามารถก้าวเข้าสู่โลก Aniverse ได้ทันที ทั้งหมดนี้คือการผนึกกำลังครั้งสำคัญที่ทำให้ Aniverse Metaverse ได้มีโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่ครบถ้วนและแข็งแกร่งขึ้น พร้อมที่จะต่อยอดสู่การพัฒนาระบบธุรกิจต่อไป
เนรมิต “Metaverse Education Community”
หากดูตาม Road Map ของโครงการจะเห็นว่า Aniverse Metaverse มีอุดมการณ์ที่จะเป็นมากกว่าแค่อีกหนึ่ง Metaverse สำหรับการเรียนรู้รูปแบบใหม่ แต่ก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทางนั้น สิ่งที่ Aniverse ได้ทำให้เกิดขึ้นสำเร็จแล้ว นั่นคือการเนรมิต “Metaverse Education Community” ชุมชนด้านการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยความร่วมมือกับทางกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), anitec, xCHAIN, Join Application, I AM Consulting และ 17 มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับประเทศ

จากความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ได้ทำให้ Aniverse Metaverse จะมีผู้ใช้งานราว 1.3 ล้านคนจากกลุ่มคณาจารย์และนักศึกษาจาก 17 มหาวิทยาลัยและผู้ใช้บน Join Application ในช่วงบุกเบิกเริ่มต้นทันที รวมทั้ง 17 มหาวิทยาลัยที่เข้ามาร่วมมือกันครั้งนี้จะได้รับที่ดิน (Land) ฟรีบนที่ดิน 2 ชุดแรกชื่อ “โพไซดอน” และ “วีนัส” เพื่อเข้าร่วมพัฒนาระบบ LMS ในการจัดกิจกรรมให้นักศึกษาเข้ามาเรียนรู้ได้เลยอีกด้วย ทั้งนี้ ที่ดินบน Aniverse ในอนาคตอาจจะเปิดให้กับฝั่งเอกชนเข้ามาลงทุนได้เช่นกัน จึงไม่แน่ว่า Aniverse Metaverse อาจเป็นได้มากกว่าแค่พื้นที่การเรียนรู้ในเร็ว ๆ นี้


แม้ว่าตอนนี้ Aniverse จะมุ่งเน้นไปที่ฟากของการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย แต่เชื่อว่าในอนาคตเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว Aniverse จะเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยอาจจะเริ่มเปิดให้เด็กนักเรียนระดับประถมถึงมัธยม หรืออาจเปิดเป็นหลักสูตรระดับปริญญาบัตรที่สามารถเข้ามานับหน่วยกิตกันจริง ๆ ได้บนโลกนี้ หรือว่าหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-degree) ให้เข้ามา Reskill กันพร้อมได้ใบประกาศที่อาจนำไปต่ออยอดในการทำงานได้
สำหรับผู้ที่สนใจอยากทดลองเริ่มเรียนรู้บนโลก Aniverse Metaverse สามารถดูรายละเอียดขั้นตอนการเริ่มเข้าสู่ Aniverse ได้ตามภาพด้านล่างนี้เลย

สนใจ Aniverse Metaverse ติดต่อได้ทุกช่องทาง
ทั้งหมดนี้คือ Aniverse Metaverse ที่กำลังเติบโตขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกสำหรับวงการการศึกษาในไทยในอนาคต ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่จะมาปฏิวัติวงการการศึกษาไทยให้สามารถลดความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี อีกทั้งความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ได้ส่งผลให้ Aniverse กลายเป็นชุมชน Metaverse ด้านการศึกษาของไทยที่มีองค์ประกอบครบถ้วนและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย
สุดท้าย Aniverse ยังเผยด้วยว่า กำลังเตรียมการเพื่อที่จะ Pilot กันจริง ๆ ช่วงสิ้นปีนี้แล้ว หากสนใจโครงการ Aniverse Metaverse สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้บนเว็บไซต์ https://aniv.io/ และสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้หลากหลายช่องทาง ทั้ง Facebook, Twitter, Instagram หรือ Telegram