เชื่อว่าคงมีสักครั้งที่ต้องได้ยินคำว่า “VUCA World” โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนผันผวน ซึ่งหมายความถึง 4 คำที่อธิบายถึงความเป็นไปที่เกิดขึ้นบนโลกก่อนหน้านี้ อันได้แก่ “Volatility” ความผันผวน, “Uncertainty” ความไม่แน่นอน, “Complexity” ความซับซ้อน และ “Ambiguity” ความคลุมเครือ
หากแต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นดูจะวิวัฒนาการไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว จนกระทั่งทำให้มีศัพท์ใหม่ที่มาอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจมาแทนคำว่า VUCA ในอนาคตอันใกล้ นั่นคือคำว่า “BANI” ที่ย่อมาจาก “Brittle” เปราะบาง, “Anxious” วิตกกังวล, “Non-linear” ไม่ตรงไปตรงมา และ “Incomprehensible” ไม่สามารถเข้าใจได้ บทความนี้จึงอยากจะพาไปรู้จักกับความหมายของแต่ละคำ เพื่อจะได้เตรียมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในโลกนี้
“B” – Brittle เปราะบาง
โลกที่ดูเหมือนหลาย ๆ สิ่งจะเปราะบางกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก ๆ ดังที่เราจะเห็นถึงความเปราะบางของหลายธุรกิจที่เกิดขึ้น ที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยั่งยืน แต่กลับล้มครืนได้ภายในเวลาอันสั้น แถมยังสามารถส่งแรงกระเพื่อมไปยังธุรกิจอื่น ๆ ให้ได้รับผลกระทบตามกันไปเหมือนโดมิโน่ จนทำให้ล้มหายตายจากไปตาม ๆ กัน และกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ขึ้นมาได้
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจริงที่น่าจะทำให้เห็นภาพได้ดี นั่นคือในอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่เกิดเหตุการณ์ล่มสลายของ LUNA ที่ส่งแรงกระเพื่อมไปให้กับคนทั้งโลกและอีกหลาย ๆ ธุรกิจ จนกระทั่งมาถึง FTX ตลาดแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลยักษ์ใหญ่ระดับโลก ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นดูมีความแข็งแกร่งมาก ๆ หากแต่ก็สามารถล้มละลายได้ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์เท่านั้น

โลกอนาคตนั้นอาจมีความเปราะบางมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม บางอย่างที่ดูภายนอกรู้สึกว่าแข็งแกร่งและมั่นคง กลับเปราะบางกว่าที่คิด สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เห็นได้ว่าตำแหน่งงานที่ทำปัจจุบันนั้นไม่ได้มีอะไรการันตีว่าจะอยู่ยั่งยืนตลอดกาล และการเปลี่ยนงานเปลี่ยนสายงานคือเรื่องปกติ ซึ่งทุกคนและองค์กรธุรกิจจึงควรจะต้องเสริมสร้าง “ความยืดหยุ่น (Resilience)” เตรียมการเพื่อรับมือกับความเปราะบางที่อาจส่งผลกระทบมาได้ในทุกเมื่อ
“A” – Anxious วิตกกังวล
ผู้คนบนโลกนี้มีความ “วิตกกังวล” กันมากขึ้นเรื่อย ๆ กลัวว่าเลือกทำอะไรไปในทางใดแล้วอาจกลายเป็นทางที่ผิด จนส่งผลให้เกิดความเสียหายและกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงอาการที่คนรู้สึก “กลัวว่าจะพลาดอะไรไป (FOMO : Fear Of Missing Out)” ที่มีมากขึ้น ดังจะได้เห็นผู้คนเสพติดโลกโซเชียลแทบจะ Real Time มากขึ้น จนทำให้จิตใจ อารมณ์ ความเครียดเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ปัจจุบันความวิตกกังวลได้กลายเป็นอาการหนึ่งที่มีอยู่ในผู้คนจำนวนมาก ซึ่งอาการวิตกกังวลยังได้ส่งผลกระทบไปยังภาคธุรกิจด้วยเช่นกันแล้ว เพราะโลกที่เปราะบางได้ทำให้ผู้คนยิ่งกังวลที่จะต้องตัดสินใจในภาคธุรกิจนั้นมีความวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น จนทำให้ภาคธุรกิจนั้นเริ่มมีการตัดสินใจดำเนินการอะไรต่าง ๆ ที่ช้าลงไปแทน

หากแต่โลกธุรกิจที่ยังคงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทุกวันเวลานั้นมีค่าและการตัดสินใจทำอะไรที่ช้าเกินไป อาจส่งผลให้องค์กรล้าหลังกว่าที่อื่น ๆ ได้อย่างง่าย ดังนั้น องค์กรจึงควรต้องเร่งสร้าง “ความตระหนักรู้ (Awareness)” และ “ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)” ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหรือควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อที่จะส่งผลให้สามารถลดความวิตกกังวลลงไปได้
“N” – Non-linear ไม่ตรงไปตรงมา
ขออธิบายคำนี้ว่าเป็นเรื่องของความ “ไม่ตรงไปตรงมา” อันเป็นความซับซ้อนของโลกในปัจจุบันที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ได้หลากหลายรูปแบบอย่างรวดเร็ว และมันไม่สามารถอธิบายเป็นเหตุและผลกันได้แบบตรง ๆ ทั้งเรื่องเวลา สัดส่วน และความรู้สึก รวมทั้งไม่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นที่มาที่ไปได้อย่างชัดเจน
ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดเจนนั่นคือกรณีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่จุดเริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นในเมืองหนึ่งในแถบทวีปเอเชีย ซึ่ง ณ ตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นคงไม่มีใครที่จะคาดคิดได้ว่าไวรัสจะสามารถแพร่กระจายไปในวงกว้างได้อย่างรวดเร็วจนส่งผลกระทบไปทั่วโลก สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นอย่างมหาศาล และกินเวลาในการจัดการนานระดับหลายปี
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนและภาคธุรกิจจึงควรจะต้องมีทักษะความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) ให้มีอยู่เสมอ สามารถปรับสภาพตัวเองได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ เพื่อให้รักษาสภาพกายใจให้ยังคงสดใส เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และสามารถยังคงอยู่ในการแข่งขันได้ต่อไป

“I” – Incomprehensible ไม่สามารถเข้าใจได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก หลาย ๆ ครั้งดูจะ “ไม่สามารถเข้าใจได้” ดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ แม้ว่าจะพยายามทำความเข้าใจมากเพียงใด วิเคราะห์จากข้อมูลมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ถ่องแท้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
และด้วยข้อมูลที่เกิดใหม่มากขึ้นทุกวัน ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย ดังนั้น เราจึงต้องเข้าใจว่าเราไม่สามารถควบคุมได้หมดทุกสิ่ง และคำตอบของคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นในอนาคตนั้นอาจไม่ได้ดูชัดเจนแจ่มแจ้งอีกต่อไปแล้ว กลับจะมีแต่คำอธิบายที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เพราะว่าหลักการแนวคิดไอเดียที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาจะทำให้ความเข้าใจของมนุษย์ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ

การจัดการเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้ในอนาคตนั้น จำเป็นจะต้องมีการเสริมสร้างเรื่อง “ความโปร่งใส (Transparency)” และ “สัญชาตญาณ (Intuition)” ที่ทำให้ไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจในทุกอย่างก่อนที่จะทำการตัดสินใจเดินหน้าทำอะไรสักอย่าง รวมทั้งการปรับใช้เทคโนโลยีอย่าง AI, Big Data และ Data Science นั้นคือตัวช่วยที่จะลดเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจลงไปได้
บทส่งท้าย
ทั้งคำว่า VUCA และ BANI เป็นเพียงแค่คำที่มาอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกยุคอดีต มาจนถึงปัจจุบันและอนาคตเพียงเท่านั้นว่าโลกของเราตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น เพื่อที่จะทำให้ทุกคนพอเข้าใจและอธิบายได้ถึงความเป็นไป หากแต่ที่สำคัญกว่านั้นคือทุกคนและองค์กรควรจะต้องเสริมสร้างทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อเตรียมรับมือกับโลก BANI ที่กำลังจะเป็นไปในอนาคตและสามารถปรับตัวรับมือกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราได้ดีขึ้นกว่าเดิม