จากรายงานล่าสุดโดย ABB ในชื่อ Energy Transition Equation ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคในอุตสาหกรรมนั้นสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่าง ๆ และบริหารจัดการเพื่อเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ไปในแนวทางที่ยั่งยืนได้ดีขึ้นด้วยระบบอัตโนมัติ (Automation) ที่จะช่วยให้มลพิษลดน้อยลงได้อย่างมาก
โดยงานวิจัยที่ดำเนินการมากว่า 9 เดือน รายงานได้ชี้ให้เห็นถึงการปรับใช้และบูรณาการเทคโนโลยี Automation, Digitalization และ Electrification ที่จะทำให้กระบวนการดำเนินงานมีความอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถส่งมอบพลังงานได้ดีขึ้นพร้อมกับยังลดการปล่อยมลพิษลงไปได้ “มากกว่า 3 แสนตันต่อปีหรือราว 25%” สำหรับไซต์ที่อยู่นอกชายฝั่งได้เลย
การลดมลพิษจำนวนนี้เทียบเท่ากับการลดการใช้รถยนต์สันดาปภายในไปได้กว่า 150,000 คันบนท้องถนน และเท่ากับการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ส่งผลกระทบทำให้สูญเสียมวลธารน้ำแข็งในแต่ละปีไปได้ถึง 5 ล้านตันเลยทีเดียว

“โลกต้องการพลังงานมากกว่านี้ แม้ว่าจะมีแนวทางในการใช้พลังงานทดแทนที่ล้ำสมัย แต่พวกเราก็ยังคงจำเป็นจะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของน้ำมันและก๊าซ เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงสามารถสนับสนุนความต้องการการใช้พลังงานได้อย่างเพียงพอและมั่นคง” คุณ Brandon Spencer ประธานแห่ง ABB กล่าว “และตอนนี้คือเวลาที่จะต้องลงทุนในเทคโนโลยีที่ถูกต้อง เพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตพลังงานขึ้นมาจากไฮโดรคาร์บอนนั้นจะมีความยั่งยืนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่เรายังคงพัฒนาเรื่องพลังงานทดแทนไปด้วย”
นอกจากนี้ รายงานยังชี้ให้เห็นด้วยว่าการใช้ระบบ Automation ยังช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอันมีผลให้ประหยัดงบประมาณรายปีได้สูงถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งยังทำให้รายได้สุทธิเพิ่มขึ้นได้ถึง 120,000 ดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย
อีกส่วนที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนแรงงานที่อยู่นอกชายฝั่งอันเต็มไปด้วยภาระหน้าที่อันตรายให้สามารถย้ายมาทำงานแบบใหม่ ๆ บนชายฝั่งได้ด้วย ที่จะทำให้พนักงานได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น มีชีวิตแบบ Work-Life Balance ดีขึ้นกว่าเดิม และลดช่องว่างของผู้ที่มีความสามารถในอุตสาหกรรมด้วยการ Reskill เพื่อสนับสนุนแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล อีกทั้งยังสนับสนุนการค้นหาและผลิตน้ำมันและก๊าซได้ดีขึ้นอีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมจากทาง ABB สามารถอ่านได้ที่นี่
