คำว่า Supercomputer นั้นฟังดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากสำหรับบุคคลทั่วไป ถ้าหากไม่ใช่ Data Scientist ในองค์กรระดับโลกชั้นหัวกะทิก็คงจะไม่ได้เข้าถึงได้ง่าย ๆ นัก หากแต่ถ้าหากว่าสิ่งนี้ได้มาอยู่บน Cloud แล้วจะเป็นอย่างไร? สิ่งนี้คือแนวคิดและที่มาของความร่วมมือระหว่าง Microsoft Azure กับ NVIDIA ที่ได้ประกาศออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
Supercomputer ในปัจจุบันนั้นมักจะมีชื่อเรียกเฉพาะของแต่ละที่ไป เช่น ระบบ Frontier ที่ตั้งอยู่ในห้องปฏิบัติการ Oak Ridge National Laboratory หรือว่าระบบ Perlmutter ที่เป็นรบบ AI Supercomputer ที่เร็วที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันนี้
ส่วนทางด้าน NVIDIA และ Microsoft ได้ประกาศว่ากำลังสร้าง “คอมพิวเตอร์ AI บน Cloud ขนาดใหญ่” โดย AI Supercomputer นี้จะมีชุดความสามารถและบริการต่าง ๆ ภายใน Azure ที่สนับสนุนด้วยเทคโนโลยีของ NVIDIA เพื่อใช้ในการประมวลผลงานประสิทธิภาพสูง (High Performance Computing) ได้
“ด้วยการปรับใช้ (Adopt) ระบบ AI ในองค์กรมากมายหลากหลาย Use Case ดังนั้น การจัดการความต้องการที่เกิดขึ้นนั้นจำเป็นต้องมีระบบประมวลผล AI บน Cloud ที่มีประสิทธิภาพให้ได้จริง ๆ” คุณ Paresh Kharya ผู้อำนวยการอาวุโสเพื่อการประมวลผลที่รวดเร็วแห่ง NVIDIA กล่าว “ความร่วมมือของพวกเรากับ Microsoft จะทำให้พวกเราสามารถให้บริการโซลูชันที่น่าสนใจอย่างมากกับองค์กรที่กำลังมองหาการสร้างและใช้งาน AI at scale เพื่อทรานส์ฟอร์ธุรกิจได้”
ด้วยความร่วมมือใหม่นี้ Microsoft จะมีการเพิ่ม NVIDIA H100 GPUs เข้าไปให้บริการใน Azure พร้อมกับเตรียมอัปเกรดไปใช้ Quantum 2 InfiniBand รุ่นถัดไปของ NVIDIA ที่สามารถเพิ่ม Bandwidth ได้เป็น 2 เท่า ถึง 400 Gb/s นอกจากนี้ ทั้งสองยังร่วมกันปรับใช้ซอฟต์แวร์ DeepSpeed ของทาง Microsoft เพื่อให้สามารถช่วยเทรน Large Language Model ที่ชื่อ Megatron-Turing Natural Language Generation (MT-NLG) ของทาง NVIDIA ให้ได้ด้วย และ NVIDIA ก็จะมีการใช้ Azure เพื่อทำวิจัยในเรื่อง Generative AI อย่างเช่น eDiff-I ที่เพิ่งเปิดตัวออกมา เป็นต้น
เรียกว่าเป็นความร่วมมือระดับโลกที่เกิดขึ้นอย่างน่าสนใจ ที่อาจจะทำให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึง AI Supercomputer ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ซึ่งน่าสนใจว่าการมาของแนวทางดังกล่าวนี้จะสามารถพลิกโฉมวงการ AI และ Supercomputer ไปได้ขนาดไหน โดยสิ่งนี้อาจทำให้วิวัฒนาการของเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะเรื่อง Generative AI นั้นสามารถก้าวล้ำไปได้มากกว่าเดิมจนอาจเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนเร็วขึ้น ก็เป็นได้