10 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์แห่งปี 2023 จาก Gartner เตรียมธุรกิจให้ทันโลก พร้อมรับมือกับอนาคตทุกรูปแบบ

0

เทคโนโลยีนั้นเป็นได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยงในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน ในขณะที่บางองค์กรกำลังวางกลยุทธ์เพื่อก้าวไปข้างหน้า หลายองค์กรอาจยังไม่ตระหนักถึงบทบาทของเทคโนโลยีที่อาจเข้ามาปั่นป่วนการดำเนินธุรกิจและความสามารถในการแข่งขัน ในบทความนี้ ADPT ขอเชิญทุกท่านมารู้จักกับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ในปี 2023 จาก Gartner เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับปีที่กำลังจะมาถึง

Gartner Top 10 Strategic Technology Trends 2023

Top 10 Strategic Technology Trends คือการจัดอันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ซึ่ง Gartner จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยนอกจากในปีที่ระบุแล้วเทรนด์เหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทต่อโลกธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้ (1-3 ปี) อีกด้วย สำหรับปี 2023 ที่กำลังจะมาถึง Gartner ได้คัดเลือกเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ 10 ลำดับมาแรง โดยมีธีมหลัก 4 หัวข้อได้แก่ การ Optimize ธุรกิจ, การ Scale การดำเนินการในทุกมุมมอง, การริเริ่มสิ่งใหม่, และเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Technology)

ภายใต้หัวข้อหลักทั้ง 4 นี้ 10 เทรนด์เทคโนโลยีที่ธุรกิจควรให้ความสนใจประกอบไปด้วย

Photo: Gartner
  1. ภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล (Digital Immune System)
  2. การประยุกต์ใช้ความสามารถในการมองเห็นกระบวนการและข้อมูลในการดำเนินการ (Applied Observability)
  3. การบริหารความเชื่อมั่น ความเสี่ยง และความปลอดภัยของ AI (AI TRiSM)
  4. แพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรม (Industry Cloud Platform)
  5. วิศวกรรมแพลตฟอร์ม (Platform Engineering)
  6. การสร้างคุณค่าจากเทคโนโลยี Wireless
  7. Superapps
  8. Adaptive AI
  9. Metaverse
  10. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Technology)

ธีม 1 – การ Optimize ธุรกิจ

โลกธุรกิจคือโลกที่ต้องการ Optimization (การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด) ตลอดเวลา ในปัจจุบันที่ธุรกิจทั่วโลกได้ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินการในด้านต่างๆ Gartner เสนอให้เห็นถึงมุมมองว่าการ Optimize ขั้นต่อไปนั้น นอกจากจะมุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจอย่างแม่นยำด้วยข้อมูลแล้ว ยังต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและความโปร่งใสด้วย

ภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล (Digital Immune System)

ภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลนั้นว่าด้วยการวางกลยุทธ์และเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสมในการจัดการกับความเสี่ยงทางดิจิทัล โดยอาจมีการใช้เทคโนโลยีอย่าง AI, Observability, Automation หรือการทดสอบระบบอย่างเคร่งครัดเพื่อสร้างระบบธุรกิจที่สามารถเชื่อใจได้ ทำงานได้อย่างเสถียร มั่นคง และปลอดจากภัยคุกคามทั้งในส่วนของลูกค้าผู้ใช้งานและธุรกิจที่ดำเนินการอยู่

ความสามารถในการมองเห็นกระบวนการและข้อมูลในการดำเนินการ (Applied Observability)

Applied Observability นั้นเป็นแนวคิดของการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจด้วยข้อมูลที่ธุรกิจสามารถมองเห็นได้ ปัจจุบันธุรกิจสามารถจัดเก็บและ”มองเห็น”ถึงข้อมูลได้อย่าง Real-time มากขึ้น ธุรกิจจึงสามารถใช้ประโยชน์จากความรวดเร็วและความแม่นยำที่ได้รับจากข้อมูลเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ปรับปรุงการดำเนินการอย่างรวดเร็ว รวมถึงแก้ปัญหาได้ ณ ตอนเกิดเหตุ

Tesla เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์นี้ในการให้บริการประกันภัยรถยนต์ของบริษัท โดยราคาของกรมธรรม์จะถูกคำนวณขึ้นจากข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ที่ถูกจัดเก็บโดยรถยนต์ของ Tesla การทำเช่นนี้นั้นช่วยให้ผู้ใช้รถโดยเฉลี่ยสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 20% ถึง 40% และหากมีคะแนนความปลอดภัยที่สูงก็อาจประหยัดได้ราว 40-60% เลยทีเดียว

หัวใจของ Applied Observability คือการตัดสินใจทางธุรกิจจากข้อมูลที่ออกมาให้เห็นโดยชัดเจนโดยไม่ต้องคาดเดาหรือจินตนาการถึงความตั้งใจหรือเหตุสุดวิสัยอื่นๆ ธุรกิจสามารถโฟกัสมาที่ข้อมูลซึ่งเป็นผลลัพธ์ ประมวลผลด้วยเทคโนโลยี AI และปรับเปลี่ยนการดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมที่ข้อมูลผลลัพธ์นั้นสะท้อนออกมาให้เห็น ซึ่งจะช่วยให้ Feedback Loop นั้นมีความตรงจุดและรวดเร็วยิ่งขึ้น

การบริหารความเชื่อมั่น ความเสี่ยง และความปลอดภัยของ AI (AI TRiSM)

หลังธุรกิจทั่วโลกมีการใช้งานเทคโนโลยี AI กันอย่างแพร่หลายและ AI เข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจเรื่องที่สำคัญมากขึ้นในธุรกิจ ประเด็นถัดมาที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือการบริหารความเชื่อมั่น ความเสี่ยง และความปลอดภัยของระบบ AI (AI Trust, Risk & Security Management – AI TRiSM)

นอกจากจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะต้องได้รับการปกครองที่ชัดเจน เพื่อให้ AI นั้นมีความน่าเชื่อถือ ทำงานได้อย่างยุติธรรม พึ่งพาได้ มีผลลัพธ์ตรงตามความตั้งใจ และมีความปลอดภัยทั้งกับระบบและข้อมูล โดยในการจะจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ ธุรกิจต้องมีแนวทางในการหาคำอธิบายผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผล AI ความสามารถในการติดตั้งโมเดล AI ใหม่อย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดปัญหา การรักษาความปลอดภัยให้กับระบบ AI และการจัดการเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว และประเด็นด้านจริยธรรม AI

ธีม 2 – การ Scale ธุรกิจในทุกมุมมอง

ในธีมของ Scale นั้น Gartner มุ่งเน้นไปที่การสเกลธุรกิจให้มี Productivity ที่มากขึ้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และสร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้บริการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าหัวใจของการทำเช่นนั้น คือการช่วยให้การดำเนินการและพนักงานภายในองค์กรสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในแง่มุมใหม่ๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน

แพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรม

ธุรกิจทั่วไปมีการใช้งานคลาวด์กันอย่างแพร่หลาย และในปัจจุบันก็มีบริการคลาวด์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อฟังก์ชันสำหรับใช้งานเฉพาะทางในอุตสาหกรรมต่างๆ บริการคลาวด์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น SaaS, PaaS หรือ IaaS สามารถสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้มากขึ้น และตอบโจทย์การดำเนินการของธุรกิจในอุตสาหกรรมได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

จากการสำรวจธุรกิจในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปโดย Gartner พบว่าองค์กรราว 40% มีการใช้งานแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรมของตนแล้ว และประมาณ 15% กำลังอยู่ในระยะเริ่มต้นใช้งาน ด้วยความสามารถที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมโดยตรง และการออกแบบให้คลาวด์ทำงานทำงานร่วมกับวิถีดำเนินการของอุตสาหกรรมตั้งแต่แรก Industry Cloud Platform จึงเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดใจสำหรับธุรกิจ ส่งผลให้การปฏิรูปดิจิทัลเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2027 ธุรกิจจะใช้แพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ของโครงการดำเนินงานที่สำคัญ ซึ่งเติบโตจากสัดส่วนราว 10% ในปี 2021 เป็นอย่างมาก

วิศวกรรมแพลตฟอร์ม (Platform Engineering)

Platform Engineering คือการสร้างประสบการณ์ในการทำงานที่ดีขึ้นและเพิ่ม Productivity ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้มีบทบาทสำคัญในธุรกิจยุคดิจิทัล เนื่องด้วยกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ในปัจจุบันนั้นมีความซับซ้อนทั้งในเชิงเทคนิค และมีปัจจัยภายนอกขั้นตอนการพัฒนาซอฟต์แวร์มากมายที่นักพัฒนาต้องคำนึงถึง การอำนวยความสะดวกและสร้างประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้นจึงกลายมาเป็นสิ่งสำคัญที่หลายธุรกิจกำลังมองหา

Platform Engineering นั้นประกอบไปด้วยการสร้างแพลตฟอร์มการพัฒนาภายในองค์กรที่นักพัฒนาสามารถเข้าใช้งานได้โดยสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการ Self-service ต่างๆ หรือการมีเครื่องมือช่วยเหลือและกระบวนการ เช่น Infrastructure Operation ที่ทำงานโดยอัตโนมัติ สิ่งเหล่านี้จะช่วยปลดภาระด้านอื่นๆออกจากงานพัฒนาซอฟต์แวร์ ส่งผลให้นักพัฒนาสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น สามารถโฟกัสกับงานหลักได้มากขึ้น และพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อตอบสนองความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

การสร้างคุณค่าจากเทคโนโลยี Wireless

เทคโนโลยี Wireless นั้นเป็นพื้นฐานของธุรกิจในปัจจุบัน ในองค์กรหนึ่งนั้นอาจมีทั้งการเชื่อมต่อไร้สายของเครือข่าย อุปกรณ์ และระบบต่างๆผ่านเทคโนโลยี Internet of Things อยู่แล้วเป็นจำนวนมาก ทว่าความสามารถของเทคโนโลยี Wireless ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น องค์กรจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันเริ่มค้นหาและสร้างสรรค์วิธีใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Wireless ในรูปแบบใหม่ๆ ที่จะช่วยยกระดับการทำงานของพนักงานในองค์กรและการให้บริการของพวกเขาไปอีกขั้น

เทคโนโลยี Wireless กำลังพัฒนาขึ้นในสองส่วนใหญ่ หนึ่งคือความสามารถในการสื่อสารที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้พวกมันสามารถทำงานได้หลากหลายยิ่งขึ้น และสองคือการเพิ่มความสามารถอื่นๆเข้าไปในเทคโนโลยี Wireless ซึ่งตอบโจทย์ด้านดิจิทัลให้กับธุรกิจได้มากขึ้น เช่น การติดตามตำแหน่ง การใช้เรดาร์ตรวจจับ การสื่อสารระหว่างรถยนต์ด้วยกัน การ Broadcast และ Multi-cast ธุรกิจสามารถประยุกต์ความสามารถเหล่านี้เพื่อสร้างบริการใหม่ๆให้กับลูกค้าและพนักงาน และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินการได้อีกมาก

ธีม 3 – การริเริ่มสิ่งใหม่ๆ

ธีมที่ 3 นั้นกล่าวถึงการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการให้บริการ โมเดลธุรกิจใหม่ หรือตลาดและอุตสาหกรรมที่ไม่มีมาก่อน ธุรกิจควรพึงจับตาเพราะเทรนด์เหล่านี้เป็นได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่จะเข้ามาปั่นป่วนหรือแข่งขันกับธุรกิจเดิมที่ดำเนินการอยู่

Superapps

Superapp คือแอปพลิเคชันที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ประกอบไปด้วยเครื่องมือหลายอย่างซึ่งเป็นมากกว่าการนำหลายแอปพลิเคชันมารวมกันไว้ในที่เดียว Superapp มักประกอบไปด้วยแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชัน และ Ecosystem ที่แวดล้อมที่สร้างประสบการณ์การใช้งานอันครบครัน ในปัจจุบันที่โลกหมุนไปในทิศทางของ Mobile-first มากขึ้น ธุรกิจหลายรายจึงเริ่มให้ความสนใจกับการพัฒนา Superapp เพื่อต่อยอดการให้บริการของตัวเองสู่มิติใหม่ๆ

Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2027 มากกว่า 50% ของประชากรโลกจะมีการใช้งาน Superapp ในชีวิตประจำวัน และคอนเซปต์ของ Superapp นั้นจะถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเพื่อตอบโจทย์การใช้งานแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งอาจรวมไปถึงฟีเจอร์สำหรับการใช้งานภายในองค์กร เช่น เครื่องมือการทำงานร่วมกัน แอปสำหรับสนทนา และอาจเกี่ยวพันกับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AI, IoT, Metaverse อย่างแยกไม่ออก

Adaptive AI

เป็นที่ทราบกันดีกว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั้นมีความฉลาดด้วยการเรียนรู้ผ่านข้อมูล เทคโนโลยีแวดล้อมในปัจจุบันที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นช่วยให้โมเดล AI นั้นสามารถเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองไปตามสถานการณ์ในขณะที่ทำงานอยู่ ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อความสามารถของธุรกิจในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

Adaptive AI ประกอบไปด้วยการออกแบบและเทคนิคทางปัญญาประดิษฐ์ที่จะช่วยให้ระบบสามารถเรียนรู้และปรับการทำงานได้ในระบบ Production ก่อนที่จะทำเช่นนี้ได้นอกจากเทคโนโลยีแล้ว องค์กรจะต้องพัฒนา AI ให้อยู่ในระดับที่มั่นใจได้ว่าสามารถตัดสินใจได้เองเสียก่อน สิ่งนี้รวมไปถึงการวางแผนถึงขอบเขตการตัดสินใจ ความยืดหยุ่น และการคำนึงถึงประเด็นด้านความยุติธรรมและจริยธรรมของ AI และการปรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้เอื้ออำนวยต่อการทำงานของ Adaptive AI

Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2026 องค์กรที่ใช้งาน Adaptive AI จะลดเวลาในกระบวนการพัฒนา AI ได้มากกว่าการพัฒนาและปรับแก้แบบปกติถึง 25%

Metaverse

โลกเสมือน Metaverse นั้นสร้างความฮือฮาไปไม่น้อยในปีที่ผ่านมา ทว่าในอนาคตอันใกล้ Metaverse นั้นอาจยังไม่ได้เข้ามาในชีวิตประจำวันของผู้คนในฐานะโลกอีกใบหนึ่ง แต่เป็นส่วนต่อขยายจากโลกปัจจุบันที่สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับธุรกิจได้

โอกาสที่มาพร้อมกับ Metaverse คือช่องทางของสินทรัพย์ดิจิทัลและช่องทางการติดต่อซื้อขายแบบใหม่ๆ ตลาดจะถูกขยายให้กว้างขึ้นกว่าเดิมในโลกเสมือน เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ขึ้น และเปิดโอกาสให้ธุรกิจได้สร้าง Engagement กับลูกค้าในรูปแบบที่หลากหลายกว่าเดิม Metaverse จะสร้างช่องทางการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์และรูปแบบการสื่อสารที่ไม่เคยมีมาก่อน

Metaverse นั้นเกี่ยวพันกับเทคโนโลยีอย่าง AR, VR, และ Blockchain ซึ่งรวมไปถึง Web 3.0 ความเปลี่ยนแปลงซึ่งเทคโนโลยีนี้จะนำมานั้นจะมีบทบาทต่อโลกธุรกิจในอนาคตไม่มากก็น้อย ดังนั้นในการวางกลยุทธ์ธุรกิจ เทรนด์นี้จึงเป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง

ธีม 4 – เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Technology)

ภาวะโลกร้อนนั้นนับเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของมนุษยชาติ หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับการปรับการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมของเทคโนโลยีและ IT ที่มีการใช้พลังงานปริมาณมหาศาลต่อปี ในปัจจุบัน ผู้พัฒนาเทคโนโลยีหลายรายต่างก็เริ่มนำเสนอโซลูชันที่จะช่วยให้บริการด้าน IT นั้นใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันสำหรับการตรวจสอบกระบวนการดำเนินงาน วิเคราะห์การใช้พลังงาน และบริหารการปล่อยของเสีย

การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนนั้นนอกจากจะช่วยยับยั้งภาวะโลกร้อนแล้ว ยังสามารถช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการ และสร้างแรงดึงดูดต่อผู้เข้าใช้บริการซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในมิติใหม่ๆอีกด้วย

บทส่งท้าย

ปี 2022 ที่ผ่านมาแสดงให้เราได้เห็นถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภายในโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามที่ไม่มีใครคาดคิด ความตึงเครียดของการเมืองระหว่างประเทศ วิกฤตพลังงาน และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ธุรกิจในปัจจุบันนั้นนอกจากจะต้องดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะต้องมีความยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความผันผวนของโลกอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นก็จะถูกแซงหน้าไปอย่างง่ายดาย

10 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ประจำปี 2023 จาก Gartner เน้นย้ำถึงความสำคัญในการปรับตัวและความยืดหยุ่น ไปพร้อมๆกับการมองไกลถึงความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จริงอยู่ที่อนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่หากธุรกิจรู้ว่าสิ่งใดควรเฝ้าระวังและจับตามอง สิ่งใดควรให้ความสำคัญ ผลกระทบจากความไม่แน่นอนนั้นย่อมไม่ร้ายแรงเกินรับมือ


สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาถึงเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์อย่างละเอียดพร้อมคำแนะนำจาก Gartner สามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อรับเอกสารได้ฟรีที่ https://www.gartner.com/en/information-technology/insights/top-technology-trends