“Finema” ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Identity สัญชาติไทยที่ไปไกลระดับโลก กับมุมมองเทคโนโลยี Blockchain ที่อาจเลือนหายไปในอนาคต

0

โลกเทคโนโลยีปัจจุบันมีวิวัฒนาการที่เร็วกว่าในอดีตเป็นอย่างมากจะเห็นได้ว่าหลาย ๆ เทคโนโลยีนั้นได้กลายเป็นสิ่งสำคัญของโลกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้าม ก็มีเทคโนโลยีอีกจำนวนมากที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากชีวิตประจำวันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ดี สิ่งที่มีความจำเป็นในทุกยุคทุกสมัยนั่นคือเรื่องของ “อัตลักษณ์ (Identity)” ที่ทุกช่วงเวลาจะต้องมีบางสิ่งที่ใช้พิสูจน์ตัวตนได้ว่าเป็นของจริง เป็นคนนั้นจริง ๆ ซึ่งโลกที่เปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัลแล้วตอนนี้ก็ยิ่งทำให้เรื่อง Identity มีความสำคัญและจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่แข็งแกร่ง แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้มีวิวัฒนาการอย่างที่ควรจะเป็น 

เหตุผลนี้เองที่ทำให้ “Finema” บริษัทสัญชาติไทยได้ก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรม Identity เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว และผลักดันให้อุตสาหกรรมมีวิวัฒนาการที่เร็วขึ้นในฐานะผู้ให้บริการ “Digital Identity Infrastructure” จนกระทั่ง Gartner ยังต้องจับตาพัฒนาการของ Finema ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บทความนี้จึงอยากจะพาทุกท่านมารู้จักกับ Finema ให้มากขึ้น และอีกมุมมองจากคุณปกรณ์ ลี้สกุล CEO และ Founder ของ Finema ในเรื่องเทคโนโลยี Blockchain ที่อาจเลือนหายไปได้ในอนาคตอันใกล้ 

ที่มาของ Finema กับเรื่อง Identity

จุดเริ่มต้นของ Finema นั้น เริ่มจากการที่คุณปกรณ์ได้มองเห็นว่า “Identity คือส่วนสำคัญ” ที่จำเป็นในทุกยุคสมัย หากแต่ปัจจุบันกลับไม่ได้มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในเรื่อง Identity (Digital Identity Infrastructure) ที่ดีเพียงพอ คุณปกรณ์จึงต้องการเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรม Identity ที่กำลังจะเป็นส่วนสำคัญอย่างมากของยุคดิจิทัลในอนาคต

คุณปกรณ์ ลี้สกุล CEO และ Founder ของ Finema

“เราพบว่ามันคือปัญหาโลกแตกตั้งแต่ยุคที่มีอินเทอร์เน็ต เป็นต้นตอของการฉ้อโกง (Fraud) หรือธุรกรรมที่มีการปลอมแปลง (Fake Transaction) ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก นั่นเป็นเพราะว่ายังไม่มี Identity Infrastructure ในโลกของดิจิทัล” คุณปกรณ์กล่าว

นี่จึงเป็นที่มาของการเริ่มต้นก่อตั้งบริษัท “Finema” ในปี 2017 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท “Digital Identity Provider” ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เรื่อง Identity ต่าง ๆ มาผลักดันอุตสาหกรรม Identity ให้แข็งแกร่งขึ้น จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ Finema ได้เติบโตขึ้นจนมีทีมงานมากกว่า 100 ชีวิตแล้วภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และได้กลายเป็นบริษัท Global ชั้นนำในภูมิภาคที่ Gartner ได้มีการอ้างถึงอย่างต่อเนื่องเป็นที่เรียบร้อย

Identity คือสิ่งที่สำคัญในทุกยุคทุกสมัย

คำว่า “อัตลักษณ์ (Identity)” นั้นมีที่มาจาก 2 คำ นั่นคือ “การพิสูจน์ (Identify)” และ “เอกลักษณ์ (Entity)” ดังนั้น Identity จึงเป็นเรื่องของการพิสูจน์ตัวตนของบุคคล นิติบุคคล สัตว์ สิ่งของ หรืออะไรต่าง ๆ ที่เป็น Entity ซึ่งแต่ละยุคสมัยนั้นจะมีวิธีการพิสูจน์ที่แตกต่างกันไป โดยขึ้นกับว่า ณ เวลานั้นมีเทคโนโลยีอะไรให้ใช้งานได้บ้าง 

“ศาสตร์เรื่อง Identity นั้นมีมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว เช่น การใช้ตราหยกในช่วงที่ประเทศจีนกำลังรุ่งเรือง หรือการใช้ใบส่งสารที่มีตราประทับ ซึ่งจะเห็นว่าคนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแต่ก็รู้ว่าเป็นของใครและเป็นของจริง” คุณปกรณ์กล่าว “ช่วงก่อนตรายางตราหยกเหล่านั้นจะยังทำปลอมได้ยาก แต่พอมีวิวัฒนาการขึ้นมา การปลอมแปลงจึงทำได้ง่ายขึ้น เลยทำให้เทคโนโลยี Identity และการพิสูจน์จำต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย”

เทคโนโลยี Identity จึงได้มีวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบันดังที่เห็นว่ามีเทคโนโลยีหลากหลายเกิดขึ้น อย่างที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน เช่น บัตรประชาชน, หนังสือเดินทาง, ข้อมูล Biometrics, Hardware Token หรือว่า Private Key ในวงการ Cryptocurrency ที่มีคนเตือนเสมอว่า “Not your key, not your coin” 

ทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนว่าทุกยุคสมัยนั้นจำเป็นจะต้องมีเทคโนโลยี Identity ที่เหมาะสม ซึ่งโลกที่กำลังเปลี่ยนถ่ายไปสู่ยุคถัดไปที่มีความเป็นดิจิทัลทั้งหมดนั้น การมี Identity Infrastructure สำหรับโลกดิจิทัลที่รองรับได้แบบไร้พรมแดนนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง

3 องค์ประกอบพื้นฐานของ Identity

โดยทั่วไปหากพูดถึงเรื่อง Identity อาจจะนึกถึงส่วนสำคัญตามร่างกายของเราหรือบัตรประชาชนเพื่อยืนยันว่าเป็นคนไทยจริง ๆ แต่แท้จริงแล้วโลกปัจจุบันกับเรื่อง Identity มีรายละเอียดมากกว่านั้น โดยคุณปกรณ์ได้ชี้ให้เห็นถึงพื้นฐานของ Identity จะประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่

  • What you know คุณรู้อะไรบ้าง เช่น ในสมัยก่อนจะเป็นรหัสลับ โค้ดลับ แต่ถ้าเป็นปัจจุันจะเป็นรหัสผ่าน (Password) ซึ่งเป็นสิ่งที่เฉพาะคุณเท่านั้นที่คุณ “รู้”
  • What you have คุณมีอะไรบ้าง เช่น สมัยโบราณกาลก็จะมีตราหยก หรือปัจจุบันก็กลายมาเป็นตรายางบริษัท, Hardware Token หรือ Software Token อย่าง Google Authenticator หรือว่า Private Key ที่บ่งบอกว่าเป็นสิ่งที่เฉพาะคุณเท่านั้นที่ “มี”
  • Who you are คุณเป็นอย่างไร ซึ่งหมายถึงทุกส่วนของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงและปลอมแปลงกันได้ยาก เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา เรตินา ใบหน้า หรือว่ารอยสัก แผลเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ “เป็น” เฉพาะคุณเท่านั้น
What you have : Hardware Token
Credit : ResearchGate
What you have : ตราประทับหยกส่วนพระองค์ของเฉียนหลงฮ่องเต้ Credit : ResearchGate

อุตสาหกรรม Identity ในปัจจุบัน และอนาคต

เทคโนโลยี Identity ได้มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันนั้นได้มาถึงยุคของ Digital Identity แล้ว ซึ่งอุตสาหกรรม Identity นั้นกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่เห็นใน Gartner ได้ว่ามีการแตกแขนงหัวข้อในงานสัมมนาออกมามากมาย ซึ่งหัวข้อที่กำลังเป็นเทรนด์ในปัจจุบันนั้น อาทิ การจัดการอัตลักษณ์และการเข้าถึง (Identity & Access Management : IAM), การจัดการสิทธิการเข้าถึงทรัพยากร (Privileged Access Management : PAM) หรือหัวข้อที่กำลังนิยมอย่างมากในช่วงนี้คือ Electronic Know Your Customer (e-KYC) หรือ การยืนยันตัวตนผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Authentication) เป็นต้น 

ทั้งนี้ คุณปกรณ์ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ณ ปัจจุบันตลาดในอุตสาหกรรม Identity ก็ยังคงค่อนข้างเล็กอยู่หากเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ สำหรับโลกดิจิทัลในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของ “Digital Identity Infrastructure” นั้นยังไม่ได้มีพัฒนาการไปจากเดิมมากนัก จนขนาดบอกได้เลยว่าตอนนี้ “ยังไม่มีใครเป็นคู่แข่งกับใคร” ทั้งสิ้นก็ว่าได้ เพราะว่าจวบจนถึงวันนี้แล้วก็ยังไม่ได้มีเจ้าใดที่สามารถครองตลาดส่วนใหญ่ทั้งโลกไปได้ หรือว่ามีการปรับใช้ในวงกว้าง (Mass Adoption) ทั้งตลาดได้จริง

Credit : Finema

อย่างไรก็ดี คุณปกรณ์ยังคาดว่าตลาดในอุตสาหกรรม Identity นั้นจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของเทคโนโลยี Mobile Authentication และ e-KYC ที่กำลังมีความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นผลพวงมาจากโลกที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจึงน่าจะทำให้ปีนี้และอนาคตอันใกล้ น่าจะเริ่มได้เห็นเทคโนโลยีและโซลูชันด้าน Identity ใหม่ ๆ ที่มีความสามารถมากขึ้นกว่าเดิม ใช้งานได้ง่ายกว่าเดิมเสมือนกับการใช้งานแอปพลิเคชันยอดนิยมระดับโลกอย่าง Facebook, TikTok จนทำให้มีการปรับใช้งานกันอย่างแพร่หลายได้ในที่สุด

มุมมอง Blockchain และ Web3 ที่อาจเลือนหายไป

หากใครได้ติดตามข่าวสารในอุตสาหกรรม Blockchain จะได้ยินชื่อของ Finema มาบ้างอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะว่า Finema ได้เคยนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้พัฒนาโซลูชันบริการอัตลักษณ์แบบกระจายศูนย์ (Decentralized Identity Service) มาแล้ว โดยก่อนหน้านี้ Finema เคยนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาใช้งานในลักษณะการบริหารจัดการกุญแจ (Key Management) เพื่อการกระจาย Private Key ไว้บนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องเก็บกุญแจลับไว้ให้เป็นอย่างดีเพราะสิ่งนี้คือการพิสูจน์ Identity ว่าเป็นผู้ใช้จริง ๆ ด้วยหลักการ “Not your key, not you” 

หากแต่อย่างที่รู้กันว่าการทำระบบให้กระจายศูนย์ (Decentralized) นั้นมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายสูงกว่ามาก ๆ ซึ่งการใช้งานในอุตสาหกรรม Identity นั้นอาจจะไม่ได้มีความคุ้มค่ามากพอสำหรับใครหลาย ๆ คน ดังนั้น หลังจากที่ให้บริการและพัฒนาผลิตภัณฑ์เรื่อยมา ประกอบกับ Use Case อื่น ๆ ที่มีการนำเอาเทคโนโลยี Blockchain ไปประยุกต์ใช้นั้น จึงพบว่าเทคโนโลยี Blockchain ไม่ได้ตอบโจทย์ดังที่คาดหวังไว้ และที่สำคัญ Finema เองก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วด้วยว่า “ไม่จำเป็นต้องมี Blockchain ก็สามารถสร้าง Digital Identity Infrastructure ที่ดีได้” อีกด้วย

“Blockchain เกิดมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งจะเห็นว่าจนถึงปัจจุบันนั้นก็ยังไม่เห็นว่ามี Use Case อะไรที่สำเร็จ ซึ่งถ้าหากพิจารณาตาม Gartner Hype Cycle แล้วจึงมีโอกาสที่ไม่เข้าสู่ช่วง Plateau ได้สูงมาก” คุณปกรณ์กล่าว “Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจใน 10 ปีที่ผ่านมา แต่ความน่าสนใจตอนนี้ลดลงไปเยอะมากแล้ว มันไม่ได้ยิ่งใหญ่จนขนาดคนจะไปตีฟองให้มันแล้ว” 

Gartner Hype Cycle
Credit : Wikipedia

“โลก Identity จะแตกต่างจากโลกการเงินพอสมควร เช่น ในวงการ Cryptocurrency หากทำ Private Key หายนั้นแปลว่าเงินหาย แต่ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้นมนุษย์ไม่สามารถทำ Identity หายไปได้ ยังไงก็จะต้องหาคนมา Certified ให้จากสักที่หนึ่ง ดังนั้น โลกใบนี้จึงเป็นแนวทางแบบ Custodial แน่นอน 100%” คุณปกรณ์กล่าวเสริม  “เรื่องของ Identity บนโลกความจริงนั้นจึงไม่ได้ Decentralized แบบอย่างที่เข้าใจกัน แต่มันเป็นลักษณะ Custodial คือต้องมีคนรับผิดชอบที่ถือ Identity ของคนกลุ่มหนึ่งอยู่ดี”

ทั้งนี้ คุณปกรณ์ยังคาดการณ์ไว้ว่าเทคโนโลยี Blockchain น่าจะมี 2 Use Case ที่อาจจะประสบความสำเร็จได้ นั่นคือ การชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross Border Payment) และการส่งผู้ร้ายข้ามแดน (Extradition) ที่หากเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจเกิดความเสียหายมูลค่ามหาศาลได้ จึงทำให้ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่จำเป็นต้องมี Decentralized Node และ Processing Power สูงนั้น มีความคุ้มค่ามากพอที่จะใช้งานจริง

โซลูชัน Identity พร้อมให้บริการจาก Finema

ปัจจุบัน ทาง Finema ได้มีบริการโซลูชันในเรื่องของ Identity เป็น 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

  • Credential Data Validation (CDV) โซลูชันที่มีลักษณะเป็น e-KYC Provider ที่เหนือไปอีกขั้น ด้วยการสนับสนุนการเชื่อมโยงเข้าสู่ Data Source จำนวนมหาศาลไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย ลาว หรืออินโดนีเซีย เพื่อตรวจสอบ Identity Attributes ต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลบัตรประชาชนด้วยวิธีการ Optical Character Recognition (OCR) ด้านหน้าบัตรและหลังบัตร หนังสือเดินทาง รายได้ ห้องพัก เที่ยวบิน การรู้จำใบหน้า เป็นต้น
  • Mobile Authentication โซลูชันที่จะทำให้การ Log In เข้าสู่ระบบต่าง ๆ เช่น Windows, Linux นั้นกลายเป็น Multi-Factor Authentication ได้ ผ่านการสแกน QR Code หรือกดปุ่ม Approve ผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อยืนยันตัวตน รวมทั้งการสร้าง Digital Signature ได้ ซึ่งโซลูชันนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นขั้นกว่าของ Google Two-Factor Authentication ก็ว่าได้ 

Use Case บางส่วนที่เริ่มใช้งานโซลูชันจาก Finema

ปัจจุบัน Finema ได้มีลูกค้ามากมายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐภายในประเทศกับเอกชนของต่างประเทศ โดยตัวอย่างโครงการบางส่วนที่มีการใช้งานโซลูชันจาก Finema นั้น เช่น 

  • โครงการ Thailand Pass ระบบลงทะเบียนเพื่อเดินทางเข้าประเทศไทยที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา โดยภายในโครงการมีการใช้ทั้ง 2 โซลูชันจาก Finema เพื่อตรวจสอบ Identity และเรื่องใบรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccine Certification) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้งานทั่วโลก
  • หน่วยงานภาครัฐของไทย ที่มีการใช้งาน Digital Signature จากทาง Finema เช่น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (Department of Business Development : DBD) ที่มีการใช้ระบบ Digital Signature ในการเซ็นต์เอกสารต่าง ๆ เป็นต้น
  • Advance Intelligence Group บริษัทสตาร์ตอัประดับยูนิคอร์นจากสิงคโปร์ที่มีโซลูชัน e-KYC แล้ว ต้องการเชื่อมต่อกับ Data Source ของไทย จึงได้ใช้บริการ CDV จากทาง Finema เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Credit : Finema

นอกจากนี้ บริษัทฟินีม่า ยังให้บริการอื่น ๆ อาทิเช่น เทคโนโลยีที่ต้องใช้การคำนวณในรูปแบบควอนตัม (Quantum) ที่กำลังจะเป็นเทรนด์แห่งยุคถัดไป อีกทั้งยังให้บริการด้าน Security Operation Center (SOC) กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 280 หน่วยงาน โดยมีระบบต่าง ๆ มากมาย เช่น SIEM, Endpoint Detection and Response (EDR), Incident Response (IR) เป็นต้น

ปรึกษาเรื่อง Identity ติดต่อ Finema ได้ทันที

จะเห็นได้ว่าเรื่องของ Identity นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นในทุกยุคทุกเวลา ซึ่งอุตสาหกรรม Identity ก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าตลาดในปัจจุบันจะยังคงไม่ใหญ่มากก็ตาม หากแต่ทีมงาน ADPT.news เชื่อว่า หลังจากโลกได้ผ่านช่วงการทำ Digital Transformation กันอย่างแพร่หลายแล้ว เรื่องของ Identity ก็จะกลายเป็นสิ่งถัดไปที่ทุกคนต้องการ และ Finema คือบริษัทผู้ให้บริการ Digital Identity Infrastructure สัญชาติไทยแท้ที่จะสามารถให้บริการตอบโจทย์กับทุกองค์กรที่ต้องการโซลูชันเกี่ยวกับ Identity ได้อย่างแน่นอน

สำหรับใครที่สนใจโซลูชันเกี่ยวกับ Identity ของทาง Finema ทุกโซลูชันมีรูปแบบให้บริการทั้ง Software-as-a-Service หรือ On-Premises ที่จะช่วยยกระดับองค์กรในเรื่อง Identity ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลต่อไป โดยท่านสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://finema.co/ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ [email protected] หรือโทร 02-211-9995 และ สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook (https://www.facebook.com/finema.co)  และบทความที่น่าสนใจบน https://medium.com/finema  ของบริษัทได้เลย