ทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้ไปร่วมงานสัมมนา IBM Solutions Summit 2023 ที่จัดขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม 2023 ที่ผ่านมา ณ InterContinental Bangkok Hotel ซึ่งก็มีทั้งในส่วนของเนื้อหาบรรยาย และบูธจัดแสดงเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจองค์กรอย่างมากมายในงานครั้งนี้
ในงานสัมมนาใหญ่ครั้งนี้ก็ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ IBM ได้นำเสนอถึงวิสัยทัศน์สำหรับภาคธุรกิจองค์กรแห่งอนาคต ที่ AI จะเข้ามามีบทบาทในทุกแง่มุมของการดำเนินธุรกิจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงยังเป็นงานสัมมนาแรกในประเทศไทยที่มีการเปิดตัวโซลูชัน IBM watsonx ซึ่งเป็น Platform สำหรับการบริหารจัดการ, พัฒนา และให้บริการด้าน AI และ Data โดยเฉพาะ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ IBM ที่จะเข้ามาพลิกโฉมธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมเลยก็ว่าได้
งานสัมมนานี้มีหลายประเด็นที่น่าสนใจมาก ซึ่งทีมงาน TechTalkThai ขอนำสรุปเอาไว้ดังนี้ครับ
6 ธีมหลักแห่งอนาคต: AI, Hybrid Cloud, Automation, Cybersecurity, Sustainability และ Quantum Computing
ในงานสัมมนานี้ ผู้บริหารของ IBM ได้สรุปทิศทางหลักของอนาคตด้วยประโยคสั้นๆ ว่า “Technology is your competitive advantage.” ซึ่งก็สื่อถึงบทบาทใหม่ของเทคโนโลยีที่จะกลายเป็นขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม ทั้งในแง่ของการเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมต่อธุรกิจมากที่สุด ไปจนถึงการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้งานภายในหรือนำมาเปิดเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการสู่ภายนอกก็ตาม
จากมุมมองของ IBM นั้น เทคโนโลยีที่จะมีความสำคัญต่อธุรกิจในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้จะมีด้วยกัน 6 ส่วน เรียกว่า Technology Atlas ซึ่งจะประกอบไปด้วย
- AI เทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในทุกวันนี้ ซึ่งได้สร้างแรงกระเพื่อมทั่วโลกจากการมาของ Generative AI ที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ และเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่า AI จะมี Use Case ใดที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจบ้าง
- Hybrid Cloud สถาปัตยกรรมหลักสำหรับระบบ IT Infrastructure แห่งอนาคต ที่การใช้เพียงแค่ Cloud เพียงอย่างเดียวจะไม่ตอบโจทย์ธุรกิจอีกต่อไป แต่ต้องมีการผสมผสานร่วมกับ On-Premises และ Edge ให้ได้อย่างลงตัว
- Automation เทคโนโลยีสำหรับเปลี่ยนการทำงานในเชิงต่างๆ ของธุรกิจให้กลายเป็นอัตโนมัติก็ยังคงเป็นอีกหนึ่ง Journey ที่ยังคงดำเนินต่อไปสำหรับธุรกิจองค์กรหลายแห่ง เพราะการเติบโตของธุรกิจนั้นหมายถึงการมีกระบวนการใหม่ๆ ที่ต้องเกิดขึ้น และการทำ Automation ก็จะต้องเกิดขึ้นตามไปด้วยอยู่เสมอ
- Cybersecurity เมื่อเทคโนโลยีและข้อมูลกลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ การปกป้องระบบเหล่านี้จากภัยคุกคามและการโจมตีจึงกลายเป็นการรับมือกับความเสี่ยงทางธุรกิจที่ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในทุกๆ วัน และยังเป็นอีกต้นทุนทางธุรกิจที่สำคัญอีกด้วย
- Sustainability ความยั่งยืนกำลังกลายเป็นประเด็นการพูดคุยหลักทั่วโลก ทำให้ธุรกิจต้องหันมาให้ความสำคัญต่อการจัดการด้านความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น รวมถึงการจัดการระบบ IT ที่ใช้งานให้มีความยั่งยืนตามไปด้วย
- Quantum Computing เทคโนโลยีการประมวลผลแห่งอนาคตที่กำลังถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีความก้าวหน้าอย่างชัดเจน จนปัจจุบันนี้เริ่มมีกรณีการใช้งาน Quantum Computing ในภาคธุรกิจที่หลากหลาย และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันใหม่ที่คู่แข่งไม่อาจเทียบเคียงได้
ทั้ง 6 แกนนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ IBM กำลังให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งจะสังเกตเห็นได้จากการแบ่งหมวดหมู่โซลูชันของ IBM ที่สะท้อนถึงประเด็นเหล่านี้อย่างชัดเจน
IT Infrastructure: เปลี่ยนจากยุค Cloud First สู่ Hybrid Cloud ตอบโจทย์ทั้งแง่ของความยืดหยุ่น, ความคุ้มค่า และการรองรับ Workload ใหม่ๆ
เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ การวางระบบ IT Infrastructure จึงกลายเป็นอีกหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเกิดความคล่องตัวในการดำเนินงานและการเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในแต่ละวัน รวมถึงยังเป็นอีกต้นทุนสำคัญในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย
IBM นั้นได้ฟันธงว่าหลังจากนี้สถาปัตยกรรมหลักทางด้าน IT Infrastructure จะมุ่งเข้าสู่ภาพของ Hybrid Cloud อย่างแน่นอน โดยในนิยามของ IBM นั้น Hybrid Cloud ในที่นี้จะมีความครอบคลุมทั้งส่วนของ Multicloud, On-Premises และ Edge ทั้งหมด โดยใช้คำว่า Hybrid Cloud เพื่อรวมทุกสถาปัตยกรรมเหล่านี้เข้าด้วยกันแทน
ทาง IBM ได้เล็งเห็นว่าภารกิจสำคัญของธุรกิจองค์กรใน 3 ปีนับถัดจากนี้ คือการเปลี่ยนสถาปัตยกรรมด้าน IT Infrastructure ให้ก้าวไปสู่การเป็น Hybrid Cloud ให้ได้ ซึ่งทาง IBM เองนั้นก็ได้ชูโซลูชัน Red Hat OpenShift เป็น Platform หลัก สำหรับทิศทางนี้ ภายใต้แนวคิด Build Once, Deploy Everywhere. ซึ่งจะเห็นได้ว่าโซลูชันใหม่ๆ ในทุกๆ ด้านของ IBM นั้น มักจะถูกเปิดตัวมาในรูปแบบของโซลูชันที่อยู่บน OpenShift ทั้งสิ้น เพื่อให้ง่ายต่อการพัฒนาต่อยอด, การเพิ่มขยายระบบ, การย้ายระบบข้ามสถาปัตยกรรม ไปจนถึงการติดตั้งใช้งานในแต่ละสถาปัตยกรรมได้อย่างอิสระตามต้องการ
นอกจากนี้ ภายในงานสัมมนาครั้งนี้ยังได้มีการเน้นย้ำถึงโซลูชันอื่นด้าน IT Infrastructure ที่น่าสนใจ เช่น
- IBM Turbonomic ระบบ AI สำหรับการทำ Hybrid Cloud Cost Optimization ที่จะช่วยติดตามการใช้งานทรัพยากร Cloud และแนะนำแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายโดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับธุรกิจองค์กรที่มีการใช้งาน Server, VM และ Container เป็นจำนวนมาก
- IBM Instana Observability โซลูชันสำหรับการติดตามประสิทธิภาพในการให้บริการของระบบ IT และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน เพื่อให้ติดตามแก้ไขปัญหาและจัดการกับประเด็นด้านประสิทธิภาพของระบบได้อย่างครบวงจร
- IBM SevOne Network Performance Management โซลูชันสำหรับติดตามประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายภายใน Hybrid Cloud ซึ่งเป็นอีกหัวใจสำคัญในการดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure โดยรวม รองรับทั้งระบบ Network ภายใน Cloud, Data Center, Campus, SD-WAN และ 5G
AI: เปิดตัว IBM watsonx ครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมให้ธุรกิจองค์กรสร้างและใช้งาน AI ได้ด้วยตนเอง
ในสายตาของ IBM นั้น AI ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่นัก และที่ผ่านมาโลกเราก็ได้ผ่านยุคของ AI มาด้วยกันหลายยุคแล้ว ตั้งแต่ Machine Learning, Deep Learning จนมาถึง Generative AI อย่างในปัจจุบัน ซึ่งหากเทียบกับปี 2017 แล้ว ปริมาณการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจก็เติบโตมาแล้ว 2 เท่า และ IBM ก็เชื่อว่าภายในปี 2030 เทคโนโลยี AI จะมีสัดส่วนในระบบเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมสูงถึง 16 ล้านล้านเหรียญเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้ต้นทุนของโครงการ AI นั้นก็ยังถือว่าสูงอยู่มาก ทั้งในแง่ของการใช้ทรัพยากรปริมาณมหาศาล และการที่ต้องมีทีมงานซึ่งมีความรู้เฉพาะทางด้าน AI จำนวนมาก ทำให้ทุกวันนี้ทั่วโลกยังมีกรณีการใช้งานสำหรับ AI เพียงไม่ถึงครึ่งเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้งานจริง
ด้วยเหตุนี้ IBM จึงได้ทำการพัฒนาโซลูชัน IBM watsonx ขึ้นมาเพื่อให้ภาคธุรกิจองค์กรสามารถเริ่มต้นวางระบบ AI และ Data ของตนเองได้ โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจ เช่น
- มี Foundation Model ซึ่งเป็น Pre-trained AI Model มากกว่า 100 รายการให้พร้อมใช้งาน
- สามารถปรับแต่งจาก Foundation Model ให้เรียนรู้ข้อมูลเฉพาะของธุรกิจเพิ่มเติมได้
- ใช้งานได้แบบ Hybrid Cloud บน Red Hat OpenShift
- มี Natural Language Processing รองรับการใช้ Prompt เพื่อสั่งงาน AI ได้
ผู้ที่สนใจโซลูชั่น IBM watsonx สามารถทดลองใช้งานได้ฟรีที่ https://www.ibm.com/watsonx
ส่วนในแง่ของการทำ Automation และ Integration ทาง IBM ก็ยังคงนำเสนอโซลูชัน IBM Cloud Pak for Automation/Integration เป็น Platform หลักเช่นเคย ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดได้ทั้งในแง่ของการทำ Business Automation ไปจนถึงการผสานรวมข้อมูลสำหรับนำมาใช้งานในรูปแบบต่างๆ ตามต้องการ
เวทีเสวนา: แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยี ในมุมของผู้บริหาร Homepro, King Power และ PEA
ในงานสัมมนาครั้งนี้ ทาง IBM ยังได้เชิญผู้บริหารระดับสูงทางด้าน IT จากหลายองค์กร ได้แก่ คุณสุดาภา ชะมด ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) คุณภูวนาถ ธรรมเมธา ผู้อำนวยการฝ่ายสารสนเทศ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และคุณเชิงชาย เรืองฤทธิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในเวทีด้วย
ในมุมของ Homepro โจทย์สำคัญของธุรกิจที่ผ่านมาคือการสร้าง Customer Experience ที่ดีให้แก่ลูกค้า ดังนั้นการดูแลรักษาระบบ IT Infrastructure ให้สามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีความมั่นคงทนทานสูง โดยมีทรัพยากรระบบที่เพียงพอ รวมถึงยังต้องสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วเป็นหลัก
โซลูชันของ IBM ที่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ดีก็คือ IBM Instana และ IBM Cloud Pak for Integration สำหรับการตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำงานและการตอบสนองของทุกระบบร่วมกัน รวมถึงยังสามารถใช้ IBM Turbonomic เพื่อช่วยบริหารจัดการทรัพยากรบน IT Infrastructure ให้เพียงพออยู่เสมอได้
สำหรับเทรนด์ธุรกิจที่ Homepro กำลังต้องเผชิญอยู่นั้นก็คือการที่ธุรกิจค้าปลีกหรือ Retail นั้นต้องเริ่มนำแนวคิดของ Recommerce หรือ Recycle Commerce มาปรับใช้ ให้สินค้าทุกชิ้นที่ลูกค้าซื้อไปสามารถถูกนำกลับมาใช้ซ้ำให้ได้ ซึ่งทาง Homepro เองก็ต้องมีการปรับตัว เปิดโครงการเก่าแลกใหม่ให้ลูกค้านำสินค้าที่ใช้แล้วมาคืนที่ร้านเพื่อรับส่วนลดได้ รวมถึงปรับเสริม After Sale Service เพิ่มเติม และใช้ IoT เข้ามาติดตามการใช้งานสินค้าต่างๆ โดยในส่วนนี้ก็จะทำให้เกิดข้อมูลปริมาณมหาศาลภายใน Data Lake และการนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลก็จะเป็นประโยชน์ในกระบวนการเหล่านี้เป็นอย่างมาก
สำหรับ King Power นั้นก็เป็นธุรกิจ Retail อีกราย ที่ต้องปรับตัวมาสู่ออนไลน์ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ดังนั้นที่ผ่านมาจึงได้มีการเปลี่ยนระบบ IT เบื้องหลังทั้งหมดเพื่อให้รองรับ Workload ที่เติบโตขึ้น โดยมีการปรับใช้ IBM Power 10 Server และ IBM All Flash Storage สำหรับ SAP S/4HANA ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ในมุมของ IBM นั้น ได้เสริมเทคโนโลยีใหม่ คือการประกาศผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ คือ IBM Storage Fusion ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง Container และ Storage เข้าด้วยกันเป็น Bare Metal OpenShift Platform ทำให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นสร้างระบบ Hybrid Cloud ให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 30%
ในอนาคต King Power มองว่าเมื่อวางระบบ IT Infrastructure ให้มีความเข้มแข็งขึ้นแล้ว ก็ต้องมีการวางระบบ Data Platform ต่อเพื่อรองรับการทำ Data Analytics ในกรณีใหม่ๆ ที่จะเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ จากการที่แนวโน้มของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และมองว่าเครื่องมืออย่าง IBM watsonx น่าจะเข้ามาช่วยสร้าง AI เพื่อจัดการข้อมูลเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังมองหาโอกาสในการนำ AI เข้ามาช่วยทำ Marketing Automation อีกด้วย ซึ่งทาง IBM ก็เห็นว่าจุดนี้ยังสามารถเสริมด้านการทำ Data Security เพิ่มเติมด้วยการเข้ารหัสข้อมูลโดยใช้ IBM Quantum Safe Encryption ซึ่งมีให้ใช้ได้แล้วบน IBM Power 10 Server และ IBM LinuxOne
ส่วน PEA นั้นให้ความสำคัญด้าน Cybersecurity เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อมีการปรับระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศอย่างพลังงานให้กลายเป็นระบบแบบ Digital มากขึ้น การปกป้องระบบเหล่านี้ให้มีความมั่นคงปลอดภัยสูงขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญ โดย PEA นั้นมีทั้ง Application สำหรับการให้บริการด้านไฟฟ้าแก่ประชาชน ไปจนถึงการเปิดจุด EV Charger รวมถึงยังมีการสร้าง Private Cloud ของตนเองอีกด้วย
ที่ผ่านมา PEA นั้นมีการแบ่งระบบ Network ออกเป็นหลายส่วนสำหรับรองรับแต่ละส่วนงานเพื่อลดความเสี่ยงของระบบ และมีการใช้เทคโนโลยีเข้าในการควบคุมอุปกรณ์และผู้ใช้งาน จึงมีการใช้โซลูชันจาก IBM Security Verify Governance ที่กำหนดได้ตรงได้รวดเร็วเพื่อจัดการข้อมูลบน Active Directory ทั้งหมดร่วมกัน และเชื่อมต่อข้อมูลไปยังระบบของ HR เพื่อใช้ในการจัดกลุ่มและควบคุม user ต่างๆ ตาม policy ขององค์กร
IBM ได้มีมุมมองเสริมด้าน IBM Security อีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจคือ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบก็สามารถเสริมด้วย IBM QRadar ที่เป็น AI Endpoint ที่ทำให้รู้ว่าถูกโจมตีทางด้านความปลอดภัยหรือยัง และหากถูกโจมตีแล้ว ก็ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา หรือสามารถตัด device ที่ถูกโจมตี ออกจากระบบได้ทันทีเช่นกัน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับองค์กรได้ดียิ่งขึ้น
สุดท้ายเมื่อพูดถึงอนาคต PEA นั้นก็มองแนวโน้มด้านความยั่งยืนเป็นหลัก ทั้งในแง่ของระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ที่จะต้องดูแลรักษาให้สามารถทำงานได้ตลอด ซึ่งในมุมของ IBM นั้นก็มองว่า PEA ยังสามารถเสริม IBM Envizi สำหรับติดตามข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและ Carbon Credit เพิ่มเติมได้ อีกทั้งยังสามารถเลือกใช้ Hardware จาก IBM เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้อุปกรณ์และพลังงานไฟฟ้าในการประมวลผลเพิ่มได้ ซึ่ง IBM LinuxOne เพียงเครื่องเดียวนั้นก็สามารถรองรับ Container ได้หลายพันชุดแล้ว
ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เห็นถึงแนวโน้มในอนาคตของธุรกิจไทย ที่ถึงแม้จะต้องมีการปรับตัวในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่มุมหนึ่งที่เหมือนกันนั้นก็คือการปรับนำเทคโนโลยีให้กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของธุรกิจ และวิสัยทัศน์ที่ IBM นำเสนอในงานสัมมนาครั้งนี้ก็สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
รับชมคลิปย้อนหลังงานสัมมนา IBM Solutions Summit 2023 ได้แล้วที่นี่! โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนรับชมคลิปย้อนหลังได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนี้ https://go.techtalkthai.com/2023/09/ibm-solutions-summit-2023-videos/