สำนักข่าว Late Post รายงานว่า BYD ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน เตรียมเปิดให้ใช้งานระบบช่วยขับขี่อัจฉิรยะ (Advanced Driver Assitance System) ที่พัฒนาขึ้นเองในวันที่ 30 มีนาคมนี้ โดยจะเริ่มให้บริการในรุ่น Denza N7 ก่อนเป็นรุ่นแรก
ระบบ ADAS ใหม่นี้จะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้ในเขตเมืองใหญ่ของประเทศจีนก่อน โดยในรายงานจาก Late Post กล่าวว่าเมืองที่ใกล้เคียงจะได้รับการเปิดใช้งานมากที่สุดคือเมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ BYD
เดิม BYD นั้นวางกลยุทธ์ในการเจาะตลาดด้วยรถยนต์ EV ที่มีราคาตำ่กว่าทั่วไป ทำให้ความสามารถในการขับขี่อัจฉริยะไม่ได้รับการโฟกัสมากนัก ทว่าเมื่อเริ่มเข้าสู่ตลาดรถยนต์พรีเมี่ยมด้วยแบรนด์ Denza, Fang Cheng Bao, และ Yangwang พวกเขาจึงต้องเร่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขับขี่ Smart Driving ที่ดียิ่งขึ้นเพื่อให้ทัดเทียมกับรถยนต์พรีเมี่ยมแบรนด์อื่นๆ
ก่อนหน้านี้ ระบบขับขี่อัจฉริยะของ BYD นั้นถูกพัฒนาขึ้นร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง Momenta และ DJI ซึ่งช่วยในการลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการพัฒนาได้เป็นอย่างมาก แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันดูเหมือนว่า BYD จะเริ่มขยับมาใช้งานเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นภายในมากขึ้น
เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา BYD ได้เผยถึงกลยุทธ์ด้านการขับขี่อัจฉริยะของบริษัท ภายใต้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นภายในที่มีชื่อว่า Xuanji ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนประมวลผลกลาง AI ทั้งในรถยนต์และบนคลาวด์ เครือข่ายเชื่อมต่อระหว่างรถยนต์ เครือข่าย 5G รวมไปถึงระบบข้อมูล เซ็นเซอร์ ดาวเทียม และองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งหมดนี้เมื่อรวมกับชิปประมวลผลที่พัฒนาและผลิตขึ้นเองและระบบอัจฉริยะอื่นๆที่มีการอัพเดทอย่างต่อเนื่องแล้วจะกลายมาเป็นรากฐานของรถยนต์ที่ BYD ผลิตขึ้น
นอกจากนี้ BYD ยังวางแผนการในการลงทุนมากกว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (เกือบ 5 แสนล้านบาท) ในการวิจัยและพัฒนาระบบขับขี่และรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ (New Energy Vehicle) ในรูปแบบต่างๆอีกด้วย
ปัจจุบันทีมวิจัยและพัฒนา Smart Drivin ของ BYD นั้นมีสมาชิกมากกว่า 4,000 คน และมีรายงานว่าในอนาคตระบบขับขี่อัจฉริยะใหม่นี้จะเข้ามาเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับรถยนต์ทุกรุ่นที่มีราคามากกว่า 300,000 หยวนขึ้นไป