10 กลยุทธ์ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์และ E-Commerce ที่ให้ผลจริง [Guest Post]

0

“กลยุทธ์ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์และ E-Commerce มีอะไรบ้าง ?”
ในยุคดิจิทัล ธุรกิจออนไลน์และ E-Commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว การแข่งขันในตลาดออนไลน์ก็เข้มข้นขึ้นเช่นกัน กลยุทธ์ SEO จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจโดดเด่นเหนือคู่แข่ง ดึงดูดลูกค้าใหม่ รวมไปถึงเพิ่มยอดขายและทำกำไรให้ธุรกิจได้ในระยะยาว บทความนี้เลยอยากมาแจก 10 กลยุทธ์ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์และ E-Commerce ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ จะมีอะไรบ้าง ติดตามกันเลย 

กลยุทธ์ SEO คืออะไร ?
กลยุทธ์ SEO คือ การวางแผนและดำเนินการต่าง ๆ เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์หรือเนื้อหาให้สอดคล้องกับอัลกอริทึมของ Search Engine (โดยเฉพาะ Google) 

10 กลยุทธ์ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์และ E-Commerce ที่ให้ผลลัพธ์จริ
กลยุทธ์ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์และ E-Commerce ที่ให้ผลลัพธ์จริง จะมีอะไรบ้าง เรารวบรวม 10 ข้อสำคัญมาให้แล้วด้านล่างนี้!

  1. ค้นหา Keyword ที่เหมาะสม
    วิเคราะห์และเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ ใช้เครื่องมือ เช่น Google Keyword Planner ในการค้นหา Keyword ที่มีปริมาณการค้นหาสูงและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ นอกจากนี้ ควรศึกษา Keyword ที่คู่แข่งใช้เพื่อเป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์ด้วย
  2. ปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับ SEO
    นำ Keyword มาใช้ในการปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ เช่น ชื่อหน้า (Title Tag), คำอธิบายสรุป (Meta Description) และ URL ควรมี Keyword ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย รวมไปถึงใส่ Keyword ในหน้าเว็บฯ อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมอย่าลืมใส่คำอธิบายรูปภาพ (Alt Text) เพื่อช่วยในการจัดอันดับผลการค้นหา
  3. สร้าง Backlink คุณภาพสูง
    มุ่งเน้นไปที่การสร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและคุณภาพสูง โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเขียน Guest Blog บนเว็บไซต์อื่น การแบ่งปันเนื้อหาคุณภาพบน Social Media หรือการเข้าร่วมกระทู้และชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง
  4. เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
    หาวิธีต่าง ๆ ในการเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ เช่น การย่อขนาดรูปภาพ การรวมและย่อขนาดไฟล์ JavaScript และ CSS การใช้ระบบ Content Delivery Network (CDN) หรือการเลือกใช้โฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพสูง
  5. ปรับเว็บไซต์ให้รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ออกแบบให้สนองตอบกับอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นอย่างดี (Responsive Design) หรืออาจนำเทคนิค Accelerated Mobile Pages (AMP) มาใช้ รวมทั้งการปรับขนาดและคุณภาพของรูปภาพให้เหมาะกับหน้าจอมือถือด้วย
  6. ประยุกต์ใช้ Schema Markup
    Schema Markup เป็นรหัสที่ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเช่น Google สามารถเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสปรากฏในผลการค้นหา ดังนั้น จึงควรเพิ่ม Schema Markup ลงในเว็บไซต์ และไม่ลืมตรวจสอบความถูกต้องด้วย Schema Markup Tester ของ Google
  7. สร้างเนื้อหาบล็อกที่มีคุณภาพ
    การมีบล็อกเนื้อหาดี มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับธุรกิจ จะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ และส่งเสริมการสร้าง Backlink จากแหล่งอื่น ๆ
  8. ใช้ประโยชน์จาก Social Media
    หมั่นแชร์บล็อก รูปภาพ วิดีโอ หรือเนื้อหาอื่น ๆ ที่น่าสนใจลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook, Twitter, Instagram เป็นต้น เพื่อเพิ่มการรับรู้และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
  9. วิเคราะห์และติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ
    ติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เช่น Google Search Console และ Google Analytics เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้น
  10. ทบทวนและปรับกลยุทธ์ SEO อย่างต่อเนื่อง
    หมั่นอัปเดตและปรับกลยุทธ์ SEO ให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยเรียนรู้จากคู่แข่ง ติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ และทดสอบสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการ A/B Testing เพื่อหากลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ
    หากดำเนินกลยุทธ์ SEO อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเพิ่มการจัดอันดับผลการค้นหา ดึงดูดลูกค้าเป้าหมายมาสู่เว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้มหาศาล หากต้องการที่ปรึกษาด้าน SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์ระดับมืออาชีพ ติดต่อ Primal Digital Agency ได้เลย เราคือเอเจนซีรับทำ SEO ชั้นนำที่พร้อมให้คำปรึกษาและบริการครบวงจร เพื่อช่วยให้ธุรกิจคุณประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์