สวนทางกับกระแสการพัฒนาและทดลองรถยนต์ในนานาประเทศไม่น้อยเมื่อรัฐมนตรีกระทรวงการขนส่งและทางด่วนของอินเดีย Nitin Gadkari ออกมาประกาศกร้าวว่าอินเดียจะไม่อนุญาตให้มีรถยนต์ไร้คนขับในประเทศ
การปฏิเสธเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในครั้งนี้มีเหตุผลมาจากการจ้างงานในอินเดียนั่นเอง โดยนาย Gadkari ให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนกับผู้สื่อข่าว Hindustan Times ว่า “เราจะไม่อนุญาตให้มีเทคโนโลยีที่เข้ามาแย่งงาน ในประเทศที่ยังมีการว่างงานอยู่ คุณไม่สามารถมีเทคโนโลยีที่แย่งงานผู้คนได้หรอก” และเขายังได้กล่าวต่อไปว่าถึงแม้อินเดียนั้นจะขาดแรงงานขับรถอยู่กว่า 22,000 ตำแหน่ง แต่ทางรัฐบาลก็กำลังเร่งสร้างสถานีฝึกอาชีพขับรถซึ่งจะผลิตแรงงาน 5,000 คนเข้าสู่ตำแหน่งภายในไม่กี่ปีข้างหน้า
แม้อัตราการว่างงานของอินเดียจะอยู่ที่ร้อยละ 4.9 (ข้อมูลปี 2013 จากกระทรวงแรงงานของอินเดีย) ซึ่งฟังดูไม่แย่นัก แต่ในประเทศที่มีประชากรสูงกว่า 1300 ล้านคน (จากการคาดการณ์ของ UN สำหรับปี 2017) นั่นหมายถึงคนว่างงานเกือบ 65 ล้านคนเลยทีเดียว โดยตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมถึงเรื่องรายได้ของประชากรโดยเฉลี่ยที่อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ โดยมี GDP PPP เฉลี่ยจากปี 1990-2016 อยู่ที่ $3256.23 เมื่อเทียบกับของประเทศไทยที่ $11044.69 (ข้อมูลจาก World Bank)
ก่อนหน้านี้ทั้ง Travis Kalanick CEO ของ Uber และ Sundar Pichai CEO ของ Google นั้นก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าอินเดียนั้นไม่น่าจะได้เห็นรถยนต์ไร้คนขับโลดแล่นอยู่บนท้องถนนเร็วๆนี้แน่ๆ เนื่องจากสภาพการจราจรอันวุ่นวายของอินเดีย ในขณะที่บริษัท Tata Elxsi ของอินเดียเองก็มีความพยายามในการแก้ปัญหานี้ผ่านการทดลองรถยนต์ไร้คนขับในสถานการณ์ที่จำลองสภาพท้องถนนในอินเดียโดยเฉพาะ ซึ่งรวมไปถึงการเพิ่มปัจจัยอย่างประชาชนผู้ใช้ทางเท้า ปศุสัตว์ และโครงสร้างถนนอันยุ่งเหยิงที่ไม่มีป้ายบอกชัดเจน เมื่อนับรวมกับการออกมาพูดครั้งนี้ของรัฐมนตรี Gadkari จึงดูท่าว่าอนาคตรถยนต์ไร้คนขับในอินเดียนั้นคงไม่สดใสนัก
การออกมาปฏิเสธเทคโนโลยีของ Gadkari ในครั้งนี้อาจนับได้ว่าเป็นครั้งแรกๆของโลกที่รัฐบาลแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเทคโนโลยี automation อย่างชัดเจน ผิดจากความกังวลถึงปัญญาการแย่งงานที่เห็นได้บ่อยครั้งตามหน้าข่าวทุกวันนี้