5 คุณลักษณะของเทคโนโลยี AI ที่คุ้มต่อการลงทุน

0

จากการสำรวจของ McKinsey Global Institute มีการประมาณการณ์ว่าในปี 2016 มีการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไประหว่าง 26,000 ถึง 39,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตัวเลขดังกล่าวสูงเป็น 3 เท่าของ 3 ปีก่อนหน้านั้น และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

ทว่าด้วยความก้าวหน้าและความนิยมอย่างล้นหลาม ผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์จึงมีออกมาวางขายอย่างหลากหลายในตลาดเพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่าง แต่ธุรกิจจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์ AI ที่กำลังจะลงทุนนั้นคุ้มค่าต่อเม็ดเงินที่จ่ายออกไป?

เว็บไซต์ Venture Beat เสนอให้ธุรกิจมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริษัทที่เน้นในการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้

1. กำจัดงานที่น่าเบื่อ

งานที่น่าเบื่อนั้นอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในแต่ละวัน แต่เทคโนโลยี machine learning และ AI นั้นกำลังเริ่มเข้ามาช่วยเราจากความน่าเบื่อนั้น เทคโนโลยีระบบโต้ตอบเช่นผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri หรือ Cortana อาจช่วยแบ่งเบางานอันไม่พึงประสงค์ในชีวิตประจำวัน ในขณะที่บริษัทอย่าง Dialogflow ก็ได้พัฒนา conversational interface ที่มีขอบเขตการทำงานกว้างไปกว่านั้น เช่นการส่งคำเชิญปฏิทินไปยังผู้ใช้ 5,000 ราย หรือการจองตั๋วเครื่องบิน

2. ช่วยโฟกัสสิ่งที่สำคัญ

ปริมาณข้อมูลมหาศาลในปัจจุบันนั้นทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ที่จะค้นหาสาระสำคัญจากข้อมูลเหล่านั้น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ machine learning นั้นเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะจัดการกับปัญหาดังกล่าว ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจับใจความจากข้อมูลได้จึงเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่น่าลงทุน เช่น Elucify ที่เกิดขึ้นมาช่วยพนักงานฝ่ายขายอัพเดทข้อมูลในการติดต่อด้วยการผสานข้อมูลที่ถูกบันทึกในที่สาธารณะและข้อมูลในฐานข้อมูลส่วนตัวมาเปรียบเทียบเพื่อแก้ไขข้อมูลการติดต่อที่มีอยู่

3. จัดการกับข้อมูลที่กระจายอยู่หลายที่

การเปรียบเทียบข้อมูล หรือการจัดการกับข้อมูลที่กระจายอยู่หลายที่เป็นปัญหาที่ยิ่งข้อมูลมีปริมาณมาก ก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น และการกระทำดังกล่าวก็เป็นกลไกสำคัญในการจัดการกับปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน บริษัทอย่าง Vectra Networks และ RiskSense นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในการประมวลผลเปรียบเทียบข้อมูลภายในเครือข่ายและภายนอกเพื่อตรวจหาความเสี่ยงหรือตรวจจับการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่คนละที่แบบนี้นั้น มนุษย์โดยลำพังไม่สามารถต่อกรได้

4. จัดการกับข้อมูลอย่างเฉพาะเจาะจง

การหาวิธีบริหารที่เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานนั้นเป็นเรื่องยาก และบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลหลายๆเจ้าก็เริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาช่วยแก้ปัญหานี้แล้ว ตัวอย่างที่เห็นภาพในกรณีนี้คือบริษัทสตาร์ทอัพ GitPrime ที่ดึงข้อมูลการพัฒนาซอฟต์แวร์ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์จากบริการอย่าง Github หรือ Gitlab เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและประสิทธิภาพในการทำงานของนักพัฒนาแต่ละคน ทำให้ธุรกิจสามารถออกแบบแพทเทิร์นการทำงานที่เหมาะสมได้

5. ป้องกันเหตุอันตราย

การนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์, automation, การปรินท์ 3D, และระบบเฝ้าระวังมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตนั้นนอกจากจะเป็นการประหยัดต้นทุน เวลา และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว มันยังสามารถช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุต่อมนุษย์อีกด้วย บริษัทอย่าง Rethink Robotics ได้สร้างระบบหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ที่แสดงให้เราเห็นแล้วว่า การใช้ AI นั้นสามารถสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับมนุษย์ งานที่อันตรายในโรงงานนั้นกำลังจะถูกถ่ายโอนไปให้หุ่นยนต์จัดการในขณะที่มนุษย์เป็นผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลังอย่างปลอดภัย