Brad Smith – Chief Legal Officer จากไมโครซอฟต์ได้เขียนบล็อคเล่าเรื่องถึง 10 ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ทั่วโลกต่างก็ต้องเผชิญในปี 2019 จะมีอะไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้
1. ความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวนั้นเป็นประเด็นที่มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2018 เราได้เห็นการเริ่มบังคับใช้กฎหมาย General Data Protection Regulation (GDPR) ในยุโรป ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบและมีการถกเถียงเรื่องการตีความอย่างกว้างขวาง ในปีนี้แรงกระเพื่อมจาก GDPR จะเริ่มเข้ามาถึงสหรัฐอเมริกา เห็นได้จากการเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีกฎหมายความเป็นส่วนตัวในรัฐต่างๆ ซึ่งย่อมก่อให้เกิดการพิจารณาในระดับประเทศถึงการจัดตั้งกฎหมายความเป็นส่วนตัวในลักษณะดังกล่าว
นอกเหนือไปจากประเด็นด้านกฎหมาย บริษัทต่างๆยังได้ประจักษ์แล้วในปีที่ผ่านมาถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัว และ Brad Smith คาดว่าจะมีการพัฒนาและลงทุนในนวัตกรรมเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
2. ข่าวลวงและข้อมูลเท็จ
ข่าวเด่นประเด็นดังในช่วงปีที่ผ่านมาช่วยให้ทุกคนเห็นแล้วว่าการเผยแพร่ข้อมูลเท็จบนแพลตฟอร์มโซเชียลหลักนั้นมีส่งผลกระทบมากเพียงใด มีรายงานว่าระหว่างปี 2015 ถึง 2017 มีผู้ใช้ที่แชร์และมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์สปอนเซอร์ที่มีจุดมุ่งหมายในการชักจูงทางการเมืองมากถึง 30 ล้านราย นำมาสู่คำถามที่ว่าเราสามารถต่อกรกับปัญหานี้อย่างไรได้บ้าง
แพลตฟอร์มโซเชียลใหญ่ๆอย่าง Facebook และ Instagram เริ่มมีมาตรการออกมาตอบโต้กับข่าวลวงและข้อมูลเท็จ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลแพลตฟอร์มเหล่านั้น ทว่าก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าการกำกับดูแลจะเป็นไปในลักษณะใด ปี 2019 นี้จึงเป็นปีที่สังคม ภาครัฐ และบริษัทเทคโนโลยีต้องต่อสู้กับปัญหาข่าวลวงนี้ต่อไป
3. ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนนั้นเริ่มระหองระแหงมากขึ้นเรื่อยๆ ปี 2018 ปิดท้ายอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการจับกุมผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีของจีนและมาตรการลดการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากจีนในหลายประเทศ เทคโนโลยีนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างการเมืองของสองประเทศที่ขัดแย้ง และการพัฒนาไปข้างหน้าของเทคโนโลยีก็อาจกลายมาเป็นความหวาดระแวงถึงความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติไป
4. การโจมตีทางไซเบอร์
การโจมตีทางไซเบอร์นั้นยังไม่หยุดง่ายๆและมีแนวโน้มที่จะซับซ้อนขึ้น บริษัทเทคโนโลยีเพิ่มการลงทุนเพื่อสรรหาวิธีการรักษาความปลอดภัยและป้องกันระบบให้ลึกซึ้งลงไปอีก หลายครั้งที่การโจมตีเหล่านี้มีเป้าหมายคือรัฐบาล เราจึงเริ่มได้เห็นการร่วมมือของนานาชาติในการป้องกันภัยทางไซเบอร์ เช่นโครงการ Paris Call for Trust and Security in Cyberspace ที่ปัจจุบันมีรัฐบาลเข้าร่วมกว่า 50 ประเทศและบริษัทเอกชนกว่า 400 ราย ซึ่งก็เป็นทิศทางการร่วมมือที่จะชัดเจนขึ้นในปี 2019 นี้
5. ศีลธรรมใน AI
ปี 2018 นั้นแสดงให้เราเห็นถึงภาพปัญหาทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นเพราะ AI ไม่ว่าจะเป็นกรณีการนำไปประยุกต์ใช้ในกองทัพซึ่งก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน หรือการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีรู้จำใบหน้าว่าอาจมีอคติและล่วงละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของผู้คน บริษัทใหมญ่ๆเช่น Microsoft ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐกำกับดูแลการใช้เทคโนโลยี และเริ่มผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับ AI ขึ้นมา ซึ่งจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและมีการพูดถึงมากขึ้นอย่างกว้างขวางในปีนี้
6. AI กับเศรษฐกิจ
ยิ่ง AI พัฒนาขึ้น คำถามเกี่ยวกับบทบาทของมันในสังคมและการแย่งงานก็มีมากขึ้น ในฝั่งหนึ่ง ผู้คนเริ่มมีความกังวลว่า AI จะสร้างงานได้น้อยกว่าที่มันแย่งไปมาก แต่ในขณะเดียวกัน ในประเทศที่อัตราการเกิดลดลงอย่างเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น AI ก็นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาสร้างผลิตผลและช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้
ในปีนี้และปีถัดๆไปข้างหน้า สิ่งที่เราจะเห็นกันมากคือการฝึกฝนทักษะใหม่เพื่อเตรียมพร้อมการใช้ชีวิตและทำงานร่วมกับ AI ซึ่งโครงการเหล่านี้ก็จะมีจากทั้งภาครัฐและเอกชน
7. People
การจัดการกับสมาชิกภายในองค์กรนั้นยังคงเป็นงานที่มีความสำคัญอย่างย่ิง มีแนวโน้มที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆในการปรับให้องค์กรมีความหลากหลาย (Diversity หมายถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ สีผิว เพศ หรืออื่นๆ) ขึ้นในทุกระดับ บริษัทเทคโนโลยีมีสวัสดิการที่ดีขึ้น และมีการปรับนโยบายให้สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้น เช่น ทั้งชายหญิงสามารถลาคลอดแบบได้รับเงินเดือนได้
นอกจากนี้ อีกประเด็นเกี่ยวกับผู้คนที่น่าจับตามองคือประเด็นของผู้อพยพ ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีได้รับผลกระทบกับทั้งการว่าจ้างพนักงานใหม่ และพนักงานเดิมที่เป็นผู้อพยพเข้ามาในสหรัฐ โดยหวังว่าในปี 2019 จะคลี่คลายไปในทางที่ดี
8. เทคโนโลยีในชนบท
แม้อินเทอร์เน็ตจะมีการพัฒนาไปมาก น่าเสียดายที่หลายๆพื้นที่ในชนบทยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ดีนัก และการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่นี้ได้ก็ทำให้พวกเขาอาจมีการตัดสินใจที่คลาดเคลื่อน มีทัศนคติทางการเมืองที่สุดขั้ว หรือขาดโอกาสในการทำงาน ด้วยเหตุนี้ จึงมีโครงการจากทั้งรัฐและเอกชนเข้าช่วยกระจายการให้บริการไปในพื้นที่ห่างไกล เช่นโครงการของไมโครซอฟต์ ที่ได้เริ่มเข้าศึกษาข้อกฎหมาย เปิดให้บริการอินเทอร์เน็ต Broadband ในพื้นที่ชนบท 16 รัฐ และมีแผนที่จะขยายโครงการออกไปยังชนบททั่วโลกอย่างต่อเนื่องภายในปี 2030
9. อธิปไตยข้อมูลและสิทธิมนุษยชนบน Cloud
คลาวด์นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เบื้องหลังเครือข่ายคลาวด์ก็คือ Data Center หลายแห่งทั่วโลกที่คอยให้บริการเก็บข้อมูลและประมวลผล ทว่าพร้อมๆกับการขยายเครือข่ายเพื่อประสิทธิภาพในการให้บริการ เราจะได้เห็นความต้องการของรัฐบาลที่อยากเก็บข้อมูลของภาครัฐหรือแม้แต่ของทุกคนในประเทศไว้ใน Data Center ที่ตั้งอยู่ในประเทศ
รัฐบาลอาจเรียกสิ่งนี้ว่าอธิปไตยข้อมูลภายในประเทศ แต่มันก็จะนำมาซึ่งคำถามถึงการกำกับดูแลข้อมูล และสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น รวมไปถึงความเสี่ยงในการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศด้วย
10. เทคโนโลยีกับชุมชน
บริษัทเทคโนโลยีเติบโตและมีรายได้มากมายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผู้คนก็เริ่มจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนั้นจะสามารถทำอะไรเพื่อสังคมหรือชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้บ้าง ในนัยหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าบริษัทเทคโนโลยีนั้นสร้างตำแหน่งงานรายได้ดีขึ้นในพื้นที่ ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี แต่ในอีกมุมหนึ่งแล้ว การที่บริษัทเทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็วก็ได้กัดเซาะโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนไปพร้อมกันด้วย
ประเด็นที่สำคัญที่จะต้องจับตามองคือประเด็นของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้นตามรายได้และการขยายตัวของบริษัทเทคโนโลยี เป็นที่ทราบกันว่าราคาบ้านหรือค่าเช่าที่แพงเกินไปนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาคนไร้บ้านในสหรัฐ ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีไอเดียใดจากรัฐหรือเอกชนในปีนี้ที่จะเข้ามาช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวในเมือง Hub ของเทคโนโลยีทั้งหลายได้