สตาร์ทอัพด้าน AI ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกนั้นปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐและมีลูกค้ากว่า 700 รายที่รวมไปถึงองค์กรที่เป็นที่รู้จักกันดีกว่า MIT, Qualcomm, Honda, และ Alibaba สตาร์ทอัพรายที่ว่านี้คือ SenseTime ซึ่งหลายท่านอาจยังไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ ลองไปดูกันว่า SenseTime มีเทคโนโลยีอย่างไร และอะไรที่ทำให้เติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่ถึง 5 ปีเช่นนี้
SenseTime นั้นเรียกได้ว่าเป็นบริษัทผู้พัฒนาอัลกอริทึม AI รายใหญ่ของจีนและของโลก โดยพวกเขามีเทคโนโลยี AI ตั้งแต่เทคโนโลยีรู้จำใบหน้า เทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพถ่าย วิดีโอ วัตถุ และตัวอักษร เทคโนโลยี AI สำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์ การเงิน บันเทิง การศึกษา ค้าปลีก การรักษาความปลอดภัย Smart City เทคโนโลยี AI ในสมาร์ทโฟน รวมไปถึงแพลตฟอร์ม AI และอื่นๆอีกมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า SenseTime จะกลายมาเป็นผู้ให้บริการอัลกอริทึมรายใหญ่ที่สุดของจีน และแพลตฟอร์ม AI อันดับ 5 ของโลก
SenseTime นั้นอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเป็นสตาร์ทอัพที่มีลูกค้ากว่า 700 รายทั่วโลก ซึ่งรวมไปถึงบริษัทใหญ่ในจีนอย่าง Alibaba และ Weibo และในขณะเดียวกันก็เป็นสตาร์ทอัพที่มีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลจีนในโครงการ Made in China 2025 ซึ่งเป็นโครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง
จากงานวิชาการสู่สตาร์ทอัพยูนิคอร์นระดับโลก
SenseTime ถูกก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 2014 โดย Tang Xiao’ou อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมข้อมูลจากมหาวิทยาลัย Chinese University of Hong Kong (CUHK), Xu Li นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และผู้ร่วมก่อตั้งรายอื่นๆ โดยหลังการก่อตั้ง SenseTime ได้ตั้งห้องแล็ปร่วมกับ CUHK และได้ตีพิมพ์งานวิจัยด้าน Computer Vision มากกว่า 400 ฉบับ และได้เปิดตัว DeepID เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าที่ทำงานได้ดีกว่าตามนุษย์ และทำงานได้ดีกว่าเทคโนโลยีของ Facebook ในขณะนั้น
อาจกล่าวได้ว่าการเติบโตของ SenseTime ส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากการสนับสนุนโดยรัฐบบาลจีนที่ได้อนุญาตให้สตาร์ทอัพรายนี้เข้าถึงฐานข้อมูลของประชากรกว่า 1,400 ล้านรายของจีน ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำให้กับอัลกอริทึมที่พวกเขาพัฒนาขึ้น นอกจากนี้ พวกเขายังมีการทำงานในโครงการต่างๆของรัฐบาล ซึ่งคิดแล้วเป็นมูลค่าราว 40% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
Algorithms for all
เทคโนโลยีของ SenseTime นั้นถูกนำไปใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ DeepID ในการรักษาความปลอดภัยของอาคารในเมืองปักกิ่ง เทคโนโลยี SenseTotem และ SenseFace ที่ช่วยหน่วยงานตำรวจวิเคราะห์ภาพวิดีโออาชญากรรมและตรวจจับความส่วน เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าเพื่อคอยระวังไม่ให้ผู้ขับรถในบริการ Ride Hailing เผลอหลับ และการตรวจจับอุบัติเหตุและแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากด้านความปลอดภัยซึ่งเป็นหนึ่งในโฟกัสหลักของบบริษัท เทคโนโลยีของ SenseTime ยังถูกนำไปใช้ในแอป Meitu ในการช่วยเพิ่มความหน้าตาดีหรือความตลกให้กับภาพถ่าย ซึ่งเทคโนโลยีคล้ายๆกันนี้ก็ถูกนำไปใช้ในการถ่ายทอดสดออนไลน์ (Live) ในบางแอปด้วย
ในทางการแพทย์ SenseTime ก็มี SenseCare Smart Health Platform ที่ใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยบุคลากรทางจากแพทย์แบบครบ Workflow เริ่มจากการวินิจฉัยโรค เช่น ก้อนเนื้อในปอด โรคกระดูกและข้อ โรคเกี่ยวกับสมอง และโรคหลอดเลือดหัวใจ ไปยังการส่งข้อมูลต่อเพื่อวางแผนการรักษาและผ่าตัด ไปจนถึงการจัดการการรักษาต่อเนื่อง
และที่ขาดไปไม่ได้ คือเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่ SenseTime ได้ร่วมก่อตั้งศูนย์วิจัยกับ Honda ในประเทศญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายในการให้บริการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียวที่กำลังจะมาถึง
ในปีนี้ก็เช่นกันที่ SenseTime กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยทางสตาร์ทอัพมีแผนที่จะเพิ่มสมาชิกในองค์กรขึ้นไปอีกจากเดิมที่มีอยู่แล้ว 2,200 ราย อีกทั้งบริษัทยังคาดหวังว่าในปีนี้จะมีรายได้มากขึ้นเป็น 3 เท่าจากเดิม คิดเป็นตัวเลขประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การเติบโตของ SenseTime และการร่วมงานกับรัฐบาลอย่างเข้มข้นนั้นทำให้หลายฝ่ายเป็นกังวลถึงความเป็นส่วนตัวของผู้คน ปัญหาการสอดแนมมวลชน และจริยธรรมในการใช้ AI โดยรวม แต่ก็ดูเหมือนว่าเรื่องที่ SenseTime ใส่ใจ ก็มีเพียงแค่การเติบโตไปข้างหน้าและการพัฒนา AI ให้อุตสาหกรรมต่างๆนำไปใช้เท่านั้น