นักวิจัยพัฒนาระบบตรวจวัดการทำงานของพนักงาน

0

ทีมวิจัยนำโดย Dartmouth University และอีกหลายมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกาได้คิดค้นระบบตรวจวัดเคลื่อนที่ที่สามารถติดตามและประเมินประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ โดยนำสมาร์ทโฟน สายรัดข้อมือด้านสุขภาพ (Fitness tracker) และแอปพลิเคชั่น มาใช้ร่วมกัน

ระบบตรวจวัดเคลื่อนที่ (mobile-sensing system) สามารถแยกระหว่างพนักงานที่ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพและพนักงานที่มีผลงานและศักยภาพต่ำ ทีมวิจัยได้ใช้ระบบติดตามพนักงานในสหรัฐฯ 750 คน เป็นระยะเวลาหนึ่งปี พบว่าระบบสามารถบอกความต่างระหว่างพนักงานทั้งสองประเภทนี้ได้ด้วยความแม่นยำถึง 80%

นักวิจัยเผยถึงวัตถุประสงค์ว่า เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกของพนักงานทั้งสุขภาวะทางร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม แต่การได้รับข้อมูลดังกล่าวก็มีข้อเสียเช่นกัน คือ อาจส่งผลให้พนักงานถูกสอดส่องตรวจตราการทำงานในบริษัทนั้นๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ นักวิจัยเห็นว่า นี่จะเป็นโอกาสที่ทำให้พนักงานพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดังที่ Andrew Campbell ศาสตราจารย์สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แห่ง Dartmouth University เผยไว้ว่า “วิธีนี้จะเป็นวิธีประเมินการทำงานของพนักงานผ่านข้อมูลการวัดที่ได้จากโทรศัพท์และอุปกรณ์สวมใส่ ระบบตรวจวัดเคลื่อนที่และระบบเรียนรู้อาจเป็นกุญแจปลดล็อกศักยภาพชองพนักงานทุกคนก็เป็นได้”

ระบบดังกล่าวประกอบไปด้วยสามส่วนคือ

  • สมาร์ทโฟน ใช้วัดกิจกรรม ตำแหน่งที่อยู่ การใช้โทรศัพท์ และแสงโดยรอบ
  • สายรัดข้อมือด้านสุขภาพ ใช้วัดการทำงานของหัวใจ การนอน ความเครียด และมาตรวัดร่างกาย เช่น น้ำหนัก และการบริโภคแคลอรี
  • ฮาร์ดแวร์บอกพิกัด (Location beacon) วางในบ้านและที่ทำงาน เพื่อให้ข้อมูลเรื่องเวลาทำงานและช่วงพัก

จากจุดนั้น อัลกอริธึมระบบเรียนรู้บนคลาวด์ก็ใช้ชุดข้อมูลข้างต้นรวมกันเพื่อจัดลำดับประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน โดยงานวิจัยพบว่า พนักงานที่ทำผลงานได้ดีมักมีอัตราการใช้งานโทรศัพท์น้อยกว่า มีช่วงเวลาหลับลึกนานกว่า และมีการเคลื่อนไหวทางร่างกายมากกว่า

ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวและผู้สนับสนุนด้านแรงงานยกประเด็นเรื่องการติดตามพนักงานมาเป็นเวลานานแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลายๆ บริษัทล้มเลิกการให้สิ่งจูงใจ เช่น ส่วนลดค่าประกัน เพื่อแลกกับการให้พนักงานสวมสายรัดข้อมือ อย่างไรก็ดี ทีมวิจัยกล่าวว่า แม้ระบบจะยังไม่ได้เปิดให้ใช้งานได้ทั่วไป แต่ก็อาจจะได้นำมาใช้จริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่า จะมีระบบนี้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์จำหน่ายหรือไม่