จากความก้าวหน้าทั้งหมดที่เราพบเห็นจากเทคโนโลยีระบบเรียนรู้เชิงลึกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากล้องรักษาความปลอดภัยฉลาดขึ้นและมีความสามารถในการติดตามได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อาจรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของประชาชนมากเกินไป Traces AI สตาร์ทอัพคอมพิวเตอร์วิทัศน์จึงมุ่งพัฒนากล้องติดตามบุคคลโดยไม่พึ่งข้อมูลระบบรู้จำใบหน้า
ผู้ก่อตั้ง Traces AI เห็นว่า ข้อมูลระบบรู้จำใบหน้าล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของสาธารณะมากเกินไป และเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าต้องการ จึงใช้เทคโนโลยีของบริษัทในการเบลอภาพใบหน้าคนในเฟรมก่อนส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ และอาศัยเพียงลักษณะทางกายภาพของบุคคลนั้นๆ แทน Veronika Yurchuk ผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพเผยว่า “มันเป็นการผสมผสานของพารามิเตอร์ที่ต่างกันออกไปจากภาพ เราสามารถใช้ทรงผม กระเป๋าที่ถือ ชนิดรองเท้า และการแต่งตัวเป็นข้อมูลแทนได้”
แน่นอนว่าเทคโนโลยีลักษณะนี้อาจไม่เหมาะกับการตามหาคนได้ เพราะอาจเปิดช่องให้อาชญากรถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าอำพรางตัวตนได้ แต่บริษัทก็พยายามเสนอทางเลือกที่มีประสิทธิภาพแต่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวน้อยกว่า
เมื่อต้นปีนี้ ซานฟรานซิสโกสั่งห้ามเจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้ใช้ซอฟต์แวร์ระบบรู้จำใบหน้า และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เมืองเดียวที่ตัดสินใจเช่นนี้ แคลิฟอร์เนียก็กำลังเสนอร่างกฎหมายสั่งห้ามใช้ระบบรู้จำใบหน้าในกล้องติดตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าพิจารณาในวุฒิสภาเนื่องจากความไม่แม่นยำของตัวระบบ
เทคโนโลยีจาก Traces AI อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับสถานที่ปิดที่มีข้อมูลของบุคคลจำกัด กรณีหนึ่งที่ใช้งานได้จริงคือการตามหาเด็กหายในสวนสนุกแม้จะมีข้อมูลเพียงนิดเดียว เช่น อธิบายว่าเป็นเด็กชายอายุ 10 ขวบ ใส่กางเกงขาสั้นสีฟ้า และเสื้อยืดสีขาว เป็นต้น ซึ่งก็เป็นข้อมูลที่เพียงพอต่อการค้นหาตัวเด็กได้
นอกจากเรื่องความเป็นส่วนตัวแล้ว เทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดอคติด้านเชื้อชาติของระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ที่พิสูจน์มาก่อนหน้านี้ว่า ระบบไม่ค่อยช่ำชองในการแยกแยะใบหน้าคนผิวสี และนำไปสู่การระบุตัวตนผิดบ่อยครั้ง