ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวของ L’Oréal นั้นล้วนแต่ผ่านการศึกษา เปรียบเทียบ และวิจัยโดยทีม Research & Innovation มาเป็นอย่างดี แน่นอนว่าวัตถุดิบที่สำคัญในการคิดค้นสูตรแต่ละครั้งก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากข้อมูลที่ L’Oréal ได้จัดเก็บไว้ในหลายแง่มุม หลายรูปแบบ ในระบบฐานข้อมูลชนิดต่างๆ การจัดการให้ทีมงานสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงมีบทบาทสำคัญต่อประสิทธิภาพในการทำงาน และ L’Oréal ก็ได้เลือกใช้โซลูชันของ Talend เข้ามาช่วยในงาน Data Integration นี้
ในแต่ละปี ทีม R&I ทั่วโลกของ L’Oréal ทำการคิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ๆขึ้นหลายพันสูตร และก่อนจะได้ออกไปเป็นผลิตภัณฑ์แต่ละตัวนั้น ทีมวิจัยและทีมการตลาดจะต้องมีการศึกษาข้อมูลแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับสูตรดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางเคมี วัตถุดิบ และการตอบรับจากผู้บริโภค โดยข้อมูลเหล่านี้นักวิจัยทั่วโลกจะต้องเข้าถึงได้โดยง่าย ปลอดภัย และตัวข้อมูลต้องมีการอัพเดตอย่างสม่ำเสมอ
L’Oréal ได้เลือกใช้โซลูชัน Talend Data Fabric เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ ข้อมูลจากห้องแล็ป และข้อมูลดิบจากแหล่งอื่นๆ เช่น เซ็นเซอร์ หรือภาพถ่าย เข้ามารวมกันใน Data Lake ที่ตั้งอยู่ใน Private Cloud ของ Microsoft Azure ซึ่ง Talend Data Fabric นี้ก็ได้ช่วยให้ L’Oréal สามารถนำข้อมูลเข้าสู่ Data Lake ได้โดยตรงผ่าน API รวมไปถึงการใส่อัลกอริทึมเข้ามาในขั้นตอนการนำเข้าด้วย
Talend Data Fabric นี้เป็นโซลูชัน Data Integration ครบวงจรจาก Talend ที่จะช่วยตั้งแต่การรวบรวม ดัดแปลง จัดการ และส่งต่อข้อมูลไปยังสถานที่ต่างๆตามต้องการ มีการใช้งานแบบ drag-and-drop ที่ง่าย ไม่ต้องพึ่งโค้ด และสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลชนิดต่างๆได้หลากหลาย
Data Lake ของ L’Oréal นี้มีการประมวลผลข้อมูลราว 50 ล้านชิ้นต่อวัน และหลังจากเริ่มโครงการ Data Lake แล้ว L’Oréal พบว่ามี Use Case ใหม่ๆในการใช้ข้อมูลเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น เช่น งานศึกษาเกี่ยกวับ Microbiome และ Exposome, การพัฒนาโซลูชันใหม่เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยอัตโนมัติในการคิดค้นสูตร, การประมวลผลวิดีโอการทดสอบผลิตภัณฑ์ผ่านอัลกอริทึมโดยทันทีผ่านข้อมูลที่ถูกป้อนเข้ามาใน Data Lake, และการจัดทำระบบบริหารการเงินของการทำวิจัย ซึ่งมี Dashboard ที่คอยบอกสถานะของ KPI ด้านต่างๆของงานวิจัยพร้อมกับงบประมาณที่ถูกใช้ไปใน KPI แต่ละตัว
การสร้าง Data Lake เช่นนี้นอกจากจะช่วยให้ทีม R&I ของ L’Oréal สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่าง Real-time และใช้เป็นวัตถุดิบร่วมกับ AI ในการสร้างสรรค์สูตรใหม่ๆแล้ว ยังช่วยให้ทีม R&I สามารถสื่อสารกับฝ่ายต่างๆภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้ข้อมูลเป็นตัวกลางด้วย