ในช่วงต้นปี 2020 นี้ การเปิดตัวของผลิตภัณฑ์ในตระกูล Samsung Galaxy S20 Series ถือว่าเป็นอีกหนึ่งข่าวที่สร้างความสนใจจากชาวไทยได้ไม่น้อย กับความสามารถของกล้องที่ถือว่าโดดเด่นเหนือกว่าในอดีตที่ผ่านมา ทำให้กระแสการรีวิว Samsung Galaxy S20 Series นี้มุ่งเน้นไปที่เรื่องกล้องเป็นส่วนมาก
อย่างไรก็ดี การเปิดตัว Samsung Galaxy S20 Series นี้ก็ไม่ได้มีเพียงแค่กล้องใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะ Samsung ยังได้ออกแบบให้ Samsung Galaxy S20 Series นี้สามารถตอบโจทย์การนำไปใช้งานในธุรกิจองค์กรได้อย่างยืดหยุ่นและมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถมากมายที่ไม่เคยถูกพูดถึงที่ไหนมาก่อน ซึ่งบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จัก Samsung Galaxy S20 Series ในอีกแง่มุมหนึ่งกันครับ
เปิดตัว Samsung Galaxy S20 Series ถึง 3 รุ่น ด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งมอบประสบการณ์การทำงานที่ต่อเนื่องลื่นไหล

หลายๆ คนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าในการเปิดตัว Samsung Galaxy S20 Series นั้นมีด้วยกันมากถึง 3 รุ่น ได้แก่ Galaxy S20 Ultra รุ่นประสิทธิภาพสูงสุดที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.9 นิ้ว, Galaxy S20+ ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว และ Galaxy S20 รุ่นเล็กสุดที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.2 นิ้ว โดย Samsung ระบุว่า CPU รุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับผลิตภัณฑ์ตระกูลนี้ก็คือ Samsung Exynos 990 ที่ทำให้มีพลังประมวลผลสูงกว่า Galaxy S10 เป็นอย่างมาก โดยมีการประมวลผลทั่วไปที่เร็วขึ้นถึง 15.4%, การประมวลผลกราฟฟิกเร็วขึ้น 25.2% และยังมีประสิทธิภาพของ Neural Processing Unit หรือ NPU สำหรับการประมวลผลงานทางด้าน AI โดยเฉพาะที่สูงขึ้นถึง 4.3 เท่าเลยทีเดียว
ในแง่ของหน่วยความจำ Samsung Galaxy S20 Series เริ่มมีการใช้ LPDDR5 เพื่อประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และยังพัฒนาฟีเจอร์ด้านการจัดการหน่วยความจำและการควบคุม Application ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น App Killing Prevention ที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถปิด Application ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบางอย่างได้ หรือความสามารถในการทำ Personalized Performance ที่ปรับแต่งการจัดการหน่วยความจำให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งาน Application ต่างๆ ทำให้การสลับหน้าจอเพื่อทำงานเป็นไปด้วยประสบการณ์ที่ดีขึ้น
สำหรับหน้าจอเองก็มีการทำ Dynamic Refresh Rate ที่ช่วยปรับเปลี่ยนการแสดงผลตามประเภทของเนื้อหาที่แสดงให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ และยังแสดงผล Blue Light น้อยลงกว่าเดิม 18% เพื่อให้การมองหน้าจอต่อเนื่องเป็นเวลานานในระหว่างทำงานนั้นส่งผลเสียกับสุขภาพน้อยลง ส่วนแบตเตอรี่เองนั้นก็มีขนาดสูงสุดถึง 5,000mAh เพื่อให้รองรับการใช้งานได้ทั้งวันอย่างไม่สะดุดติดขัด
มาพร้อม Samsung DeX ที่ยืดหยุ่นยิ่งกว่าเดิม ใช้ Productivity App, VDI และ Video Conference ได้อย่างง่ายดาย

อีกหนึ่งฟีเจอร์เรือธงสำหรับการทำงานของ Samsung ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นใน Samsung Galaxy S20 Series นี้ก็คือ Samsung DeX ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถนำ Samsung Galaxy S20 ไปเชื่อมต่อกับจอ Monitor เปล่าๆ หรือเครื่อง PC/Notebook และทำงานด้วยประสบการณ์แบบ Desktop ได้ทันที เหมาะกับการใช้งาน Productivity App ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Office 365 หรือ Google G Suite ให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่ถูกปรับปรุงมาใน Samsung DeX นี้ก็คือการปรับ UI ใหม่ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น, การรองรับความสามารถในการ Copy/Paste ข้อมูลข้ามระหว่าง Mobile Device และ PC/Notebook ได้ดียิ่งขึ้น และการรองรับการเชื่อมต่อกับ Wacom One เพื่อให้การใช้งาน Application สำหรับการวาดภาพบน Samsung DeX เป็นไปได้ด้วยประสบการณ์ยิ่งขึ้น เหมาะกับศิลปินที่ต้องการการวาดภาพบนหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น และอาศัยการประมวลผลที่ทรงพลังของ Samsung Galaxy S20 Series ในการทำงาน

ในแง่มุมสำหรับธุรกิจองค์กรเองนั้น Samsung DeX รุ่นล่าสุดนี้ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะนอกจากจะทำให้ Samsung Galaxy S20 Series เป็นได้ทั้ง Smartphone และ PC เพื่อใช้งาน Productivity App ได้ง่ายๆ แล้ว ในรอบนี้ Samsung เองยังได้ชูการใช้งานระบบ Virtual Desktop Infrastructure หรือ VDI อย่างเช่น VMware Horizon, Citrix Receiver, Microsoft Remote Desktop และ Amazon Workspace ด้วย ทำให้ Samsung Galaxy S20 Series กลายเป็นอีกทางเลือกของ Thin Client สำหรับทำ VDI หรือรองรับการทำ Business Continuity ได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนธุรกิจใดที่ต้องการประชุมด้วยหน้าจอใหญ่ๆ สำหรับดู Presentation ได้อย่างสะดวก Samsung DeX ก็รองรับระบบ Video Conference ชั้นนำทั้ง Cisco Webex, Zoom, Bluejeans และ GoToMeeting ได้ด้วยเช่นกัน จะทำ Meeting หรือ Webinar ก็เปิดแสดงผลบนจอใหญ่ได้ทั้งนั้น
นอกจากนี้ Samsung เองก็ยังได้จับมือกับ Microsoft เพื่อทำการเชื่อม Account ของ Samsung และ Microsoft เข้าด้วยกันได้ทันทีตั้งแต่เริ่มใช้งาน ทำให้การใช้งานความสามารถต่างๆ ที่ถูกพัฒนาร่วมกันระหว่าง Samsung และ Microsoft ในการรับส่งข้อมูลกันระหว่าง Samsung Galaxy S20 Series และ Windows 10 เป็นไปได้อย่างราบรื่นและง่ายดาย
รองรับ Network ความเร็วสูง พร้อม Wireless IPS ในตัวเสริมความมั่นคงปลอดภัยอีกชั้น
หากพูดถึง Network หลายๆ คนคงนึกถึงการที่ Samsung Galaxy S20 Ultra สามารถรองรับ 5G ได้เท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วนอกจาก 5G ใน Samsung Galaxy S20 Series นี้ก็ยังรองรับ Wi-Fi 6 ที่เป็นมาตรฐาน Wi-Fi ล่าสุดที่ Samsung Galaxy S20 Series สามารถเชื่อมต่อได้ด้วยความเร็วที่สูงถึง 1.2Gbps พร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายดีขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังได้เพิ่มความสามารถด้านการเชื่อมต่อเครือข่ายเอาไว้มากมาย
ความสามารถแรกนั้นก็คือ Switch to Mobile Data ที่จะทำให้ Samsung Galaxy S20 Series สลับไปใช้ Data Network โดยอัตโนมัติทันทีเมื่อตรวจพบว่า Wi-Fi ที่เชื่อมต่ออยู่นั้นไม่เสถียรหรือช้า ทำให้ประสบการณ์ทำงานลื่นไหลกว่าเดิม และสามารถเลือกเปิดปิดความสามารถนี้ได้ตามต้องการ
ความสามารถัดมาก็คือ Software IPS สำหรับทำหน้าที่เป็น Wireless Intrusion Prevention System (IPS) ที่จะคอยตรวจสอบว่า Access Point ที่ทำการเชื่อมต่ออยู่นั้นเป็นขององค์กรจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นอุปกรณ์ Rogue Device ที่ปลอมปนเข้ามา และแจ้งเตือนผู้ใช้งานเพื่อตรวจพบกรณีนี้ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเชื่อมต่อเครือข่ายลงไปได้มากทีเดียว
ความสามารถสุดท้ายก็คือ Network Aware Offloading ที่จะทำให้เลือกได้ว่า Application ใดจะเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน Wi-Fi หรือ Data Network เมื่อเปิดใช้งานเครือข่ายทั้งสองประเภทเอาไว้พร้อมกัน เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง เช่น Productivity App ทั้งหมดอาจทำการเชื่อมต่อผ่าน 4G/5G ในการทำงาน ในขณะที่ Video Streaming App อาจบังคับให้เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi เท่านั้น
นอกจากในแง่ของ Feature แล้ว Samsung เองก็ยังได้เสนอ Use Case ที่น่าสนใจและเป็นไปได้บน Samsung Galaxy S20 Ultra คือการใช้ 5G เพื่อสนับสนุนการใช้งาน Application ที่ต้องการ Latency ต่ำๆ อย่างเช่นการทำ Augmented Reality (AR) Remote Assistance หรือการเชื่อมต่อกับ VDI ด้วย
มีหน่วยประมวลผลเฉพาะ ปกป้อง PIN, Password, Pattern และ Blockchain Private Key อย่างมั่นใจ
อีกประเด็นหนึ่งด้าน Hardware ที่ถูกปรับปรุงใน Samsung Galaxy S20 Series ให้เหนือกว่า S10 อย่างเห็นได้ชัดก็คือการเพิ่ม Secure Processor เข้ามา ทำให้สามารถปกป้องอุปกรณ์จากการโจมตีแบบ Hardware-based ได้ และสามารถปกป้องข้อมูล PIN, Password, Pattern และ Blockchain Private Key ได้ดีกว่าเดิม โดย Secure Processor ดังกล่าวนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับ Samsung Knox เพื่อเสริมความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มเติมได้ด้วย
ออกแบบฟีเจอร์กล้อง เพื่อรองรับการทำงานด้านสื่อที่ง่ายขึ้น

สำหรับการรีวิวการใช้งานทั่วไปนั้นมักจะรีวิวเรื่องความคมชัดของกล้องเป็นหลัก แต่สำหรับการใช้งานในเชิงธุรกิจแล้ว Samsung เองก็ได้ใส่ลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามาสำหรับรองรับการทำงานด้านสื่อโดยเฉพาะไม่น้อยทีเดียว ตั้งแต่วิดีโอ 8K ที่จะทำให้สามารถถ่ายวิดีโอมาเผื่อการ Crop เก็บรายละเอียดบางส่วนที่น่าสนใจได้, Super Steady 2.0 กันสั่นสำหรับวิดีโอที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการ Zoom ได้ 10-100 เท่าที่มีคนรีวิวไปแล้วมากมาย
อีกหนึ่งความสามารถที่น่าสนใจและน่าลองใช้งานมากๆ สำหรับสื่อก็คือ Single Take ที่จะเปิดใช้กล้องทั้งหมดของ Samsung Galaxy S20 Series ในการเก็บภาพและวิดีโอพร้อมๆ กัน และนำ AI มาใช้คัดเลือกเฟรมหรือวิดีโอเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกภาพหรือคลิปที่เหมาะสมที่สุดในการใช้งานได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องการพลาดจังหวะสำคัญอีกต่อไป โดย Single Take นี้จะใช้เวลา 3-15 วินาทีในการถ่าย และได้ผลลัพธ์คือวิดีโอ 1-7 ไฟล์ และภาพ 5-13 ภาพในการถ่ายครั้งเดียว
Depth Vision Camera รองรับ Application แห่งอนาคตได้ในตัว

Depth Vision Camera ที่เดิมทีเคยถูกเปิดตัวมาแล้ว ในรอบนี้ Samsung ได้นำเสนอความสามารถในการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการนำ Samsung Galaxy S20 Series ไปผูกเข้ากับระบบ Building Information Management หรือ BIM ทำให้ภาพถ่ายภายในอาคารนั้นถูกซ้อนลงไปด้วยแบบแปลนของอาคารจาก BIM และเปรียบเทียบได้ว่าสถานที่หน้างานแตกต่างจากการออกแบบจริงมากน้อยเพียงใด ทำให้งานก่อสร้างนั้นมีความแม่นยำและตรวจสอบได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือการนำไปใช้งานในเชิง Logistics ที่จะทำให้กล้องของ Samsung Galaxy S20 Series สามารถวัดขนาดของวัสดุหีบห่อได้อย่างแม่นยำ และนำข้อมูลลงไปป้อนในระบบจัดการการขนส่ง รวมถึงยังนำข้อมูล GPS ไปใช้งานได้ และแสดงผลผ่านระบบ AR ได้อีกด้วย
One UI 2.0 ปรับเปลี่ยนการแสดงผลให้ตอบโจทย์การใช้งานได้มากที่สุด
สำหรับธุรกิจที่ต้องมีการนำ Smartphone ไปใช้งานในพื้นที่เฉพาะทาง และต้องการลดความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล One UI 2.0 คือความสามารถที่จะมาตอบโจทย์เหล่านี้
ความสามารถแรกของ One UI 2.0 นี้ก็คือการปรับแต่งสีขององค์ประกอบต่างๆ ในระบบ Android เช่น คีย์บอร์ด หรือสีพื้นหลัง เพื่อให้หน้าจอมีความโดดเด่นตามที่ต้องการ ทาง Samsung ได้ยกตัวอย่างในกรณีของงานด้านการซ่อมบำรุงและงานภายในคลังสินค้า ที่ต้องการเน้นความเด่นชัดของปุ่มให้มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ในที่มืด

ความสามารถถัดมาก็คือการทำ Hearing Enhancement ที่ Samsung Galaxy S20 Series สามารถทำงานร่วมกับ Samsung Galaxy Buds เพื่อช่วยให้การได้ยินของผู้ใช้งานดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุในบางกรณี และช่วยให้ผู้ที่บกพร่องทางการได้ยินสามารถทำงานต่างๆ ได้หลากหลายยิ่งขึ้นไม่ต่างจากคนทั่วไป
สนใจโซลูชันอุปกรณ์ Smartphone หรือ Tablet สำหรับธุรกิจ ติดต่อทีมงาน Samsung ได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันด้านการนำ Smartphone หรือ Tablet สำหรับนำไปใช้งานกับธุรกิจ หรือระบบบริหารจัดการอุปกรณ์เหล่านี้ให้มีความมั่นคงปลอดภัยและกำหนดค่าการใช้งานต่างๆ ได้จากศูนย์กลาง สามารถติดต่อทีมงาน Samsung Business ได้ทันทีที่โทร 02-118-1000 หรืออีเมล์ [email protected] หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Samsung Business ได้ที่ https://www.samsung.com/th/business/