AIS The StartUp เดินหน้าตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สนับสนุนให้เกิด Ecosystem ด้านการพัฒนาธุรกิจ การสร้างโอกาส และติดอาวุธทางดิจิทัลให้กับวงการ StartUp มาอย่างต่อเนื่อง ได้จัดงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘National Digital CTO FORUM 2022’ Co-creation SaaS Business with 5G and Cloud ที่ได้รวบรวมผู้บริหารระดับโลกในสายเทคโนโลยี หรือ CTO และกูรูด้านดิจิทัล มาร่วมแชร์ประสบการณ์เพื่อให้ StartUp ไทยก้าวไกลสู่ยุคดิจิทัล เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการเติบโตสู่การเป็น StartUp ที่มีศักยภาพพร้อมแข่งขันในตลาดโลกได้ต่อไป
ศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการด้านเอไอเอส สตาร์ทอัพ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันโลกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล ดังนั้นเอไอเอส ในฐานะที่มีจุดแข็งด้านเครือข่าย 5G และเทคโนโลยี จึงเล็งเห็นความสำคัญที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ประเทศไทยพร้อมสู่คำว่าดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันในช่วงการระบาดของโควิด-19 แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะถดถอย แต่นับตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปีนี้ ถือเป็นช่วงเวลาทองของสตาร์ทอัพตัวจริง โดยปัจจัยที่ทำให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตได้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เกิดจากปัจจัยหลัก ได้แก่ สภาพทางภูมิศาสตร์ของไทย ที่มีจุดกลยุทธ์สำคัญในเชิงภูมิศาสตร์ที่เชื่อมต่อไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยมีกลุ่มประชากรที่ใหญ่เพียงพอ ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดมีความหลากหลาย และมีการแตกแขนงได้มากเพียงพอ”
“การเติบโตของสตาร์ทอัพ โมเดลทางธุรกิจคือสิ่งที่จะทำให้พวกเขาเติบโตไปข้างหน้า แต่สิ่งที่ทำให้เติบโตแบบก้าวกระโดดก็คือการมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง ดังนั้น การก้าวไปสู่ทศวรรษที่สองของสตาร์ทอัพไทย นอกจากการมองไปข้างหน้า การหันกลับมามองข้างหลังก็มีความสำคัญ เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เราสร้างขึ้นเป็นอย่างไร ส่วนในเมืองไทยมีหลายองค์กรที่นอกเหนือจาก AIS และไมโครซอฟต์ ที่พร้อมสนับสนุนให้มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน”
ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า “ในขณะนี้ ในด้าน IMD Digital Competitiveness 2021 ไทยอยู่ในอันดับที่ 39 ของโลก หรืออันดับ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย และถือว่ายังมีศักยภาพในการพัฒนาต่อไป ในขณะที่รูปแบบเปลี่ยนไปจาก “On Premise” มาเป็น “On Cloud” โดยในช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ไทยเริ่มมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาคือการทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการกล้าที่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ นอกจากนั้น ไทยยังต้องให้ความสำคัญเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Industry 4.0, เทคโนโลยี 5G, Cybersecurity และ E-Government”
“ในแง่การพัฒนาการแข่งขันด้านดิจิทัล ไทยจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการให้ความรู้ เช่นระบบการศึกษาที่รองรับการเติบโตด้านดิจิทัล การพิจารณาว่าโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่มีอยู่มีความเหมาะสมพอหรือไม่ กฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นมิตรที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม การหา Risk Capital หรือเงินทุนที่รองรับความเสี่ยง ไทยมีการเตรียมความพร้อมมากเพียงใดในอนาคต และองค์กรต่าง ๆ มีความพร้อมที่จะปรับตัวเพียงใด”
ด้าน Philipp Kandal, Head of Engineer, GEO at Grab แชร์มุมมองในการทำงานของ Grab ว่า “แผนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อ Grab เพราะทำให้สามารถระบุตำแหน่งของลูกค้า หรือวิเคราะห์ได้ว่าปกติลูกค้าจะเดินทางไปสั่งอาหารที่ใด รวมทั้งระบบแผนที่ยังทำให้ทราบถึงสถานที่ในการรับและส่งอาหาร การค้นหาร้านอาหาร และการเสนอแนะร้านที่น่าสนใจ ทั้งยังช่วยในการประเมินระยะทางในการขนส่งที่มีผลต่อค่าบริการ รวมทั้งแผนที่ยังมีประโยชน์ในด้านการนำทาง การแนะนำเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับผู้ส่ง ทั้งยังช่วยให้ลูกค้าได้ทราบถึงร้านอาหารที่อยู่ใกล้เคียง ร้านที่กำลังได้รับความนิยม หรือร้านที่มีการจัดกิจกรรมพิเศษ”
“การพัฒนาและสร้างข้อมูลที่ช่วยให้ Grab สามารถพัฒนาการขนส่ง ด้วยการใช้ภาพถ่าย และ Machine Learning เพื่อให้เห็นภาพว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบเส้นทางเป็นอย่างไร หรือมีอุปสรรคใดบ้าง ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ที่ Grab มีอยู่เช่น Parking finder หรือสถานที่จอดรถใกล้ร้านอาหาร และที่พักอาศัยของลูกค้า, Grab Venue หรือข้อมูลสถานที่เพื่อให้ลูกค้าและผู้ส่งอาหารมี Guidance โดยใช้รูปภาพ และ Multi Model Routing เพื่อให้ผู้ส่งอาหารมีทางเลือกในการเดินทาง”
ภูผา เอกะวิภาต CTO Microsoft Thailand กล่าวว่า Job Description ของ CTO ในระดับองค์กรขนาดเล็ก Co-founder เพียงคนเดียวก็เพียงพอต่อการสร้างผลิตภัณฑ์และเปิดตัวสินค้าในช่วงแรก เมื่อพัฒนาขึ้นเป็นบริษัทใหญ่ CTO มีความสำคัญมากกว่าแค่การพัฒนาสินค้า แต่ยังควรหันมาให้ความสำคัญในด้านธุรกิจ การขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร การขับเคลื่อนพนักงาน การสร้างเครือข่ายมากขึ้นอีกด้วย”
“ไมโครซอฟท์มองว่า ทุกธุรกิจคือธุรกิจดิจิทัลที่ส่งผลในวงกว้างต่อหลาย การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ IT culture transformation เพราะเกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ความคิดที่เรียกว่า “learn-it-all” จะเข้ามาแทนที่ “know-it-all” ทำให้เกิด mindset ใหม่ ที่ทำให้ตะหนักว่า ทุกเรื่องคือเรื่องใหม่ที่ควรเรียนรู้ เช่นการสัมมนาด้านเทคโนโลยีที่มีคนเข้าร่วมมากขึ้น สื่อออนไลน์ หรือ ผู้ผลิตสื่อด้านการศึกษาที่มากขึ้น”
ด้าน ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กล่าวว่า “ปัจจุบัน เอ็ม เอ ไอ อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบซื้อขาย LiVE Exchange ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจเอสเอ็มอีและ Startups ของไทย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามส่งเสริมเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพผ่านกลไกตลาดทุน โดยการพัฒนาผู้ประกอบการผ่าน LiVE Platform ที่ช่วยเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนสำหรับผู้ประกอบการ เช่นการจัดทำ E-Learning เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ขั้นพื้นฐานและเชิงลึก การให้บริการ Business Coaching ผ่านโครงการ LiVE Acceleration Program และ LiVE Incubation Program”
“ระบบซื้อขาย Live Exchange จะช่วยทำให้เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ สามารถระดมทุนและจะเป็นการเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมเพิ่มขีดความสามารถและมีความเข้มแข็ง และทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมีเสถียรภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยเตรียมพร้อมให้แก่สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี ก่อนที่จะเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือ เอ็มเอไอต่อไป จึงทำให้ที่ผ่านมา เอ็ม เอ ไอ ได้ร่วมพูดคุยกับ AIS และไมโครซอฟท์ในการพัฒนา LiVE Platform ซึ่งเป็น แพลตฟอร์มเปิด ที่ ประกอบด้วย Education Platform ที่มุ่งสร้างความรู้, Scaling Up Platform ที่มุ่งสร้างความแข่งแกร่งให้กับผู้ประกอบการที่พร้อมจะเติบโต และมีความตั้งใจที่จะเข้าสู่ตลาดทุน และ LiVE Acceleration Platform”
งานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘National Digital CTO FORUM 2022’ Co-creation SaaS Business with 5G and Cloud ถือเป็นเวทีเปิดประสบการณ์ให้แก่เหล่าStartUp ได้รับความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบเพื่อพร้อมให้ StartUp ไทยก้าวไกลสู่ยุคดิจิทัล