Volkswagen (VW) ประกาศความพยายามในการปรับเป็นระบบไฟฟ้าอีกครั้งในอเมริกาเหนือ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บริษัทประกาศลงทุนเพิ่มอีก 7.1 พันล้านเหรียญภายใน 5 ปีข้างหน้าเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและการทำวิจัย
โดย VW เตรียมใช้เงินก้อนดังกล่าวเพื่อ “เร่งวิจัยและพัฒนา (R&D) ระดับภูมิภาคในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และเพิ่มกำลังการผลิต” ซึ่งคาดหวังว่าจะสามารถช่วยเพิ่มยอดขาย 55% ในสหรัฐอเมริกาให้กลายเป็นรถยนต์ EV ได้ภายในปี 2030 อีกทั้ง VW ยังตั้งใจที่จะลดการผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายในด้วยช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ VW คาดการณ์ว่า 90% ของยานยนต์ที่ขายในแถบอเมริกาเหนือ ณ เวลานั้นจะเป็นการประกอบในอเมริกาเหนือแล้ว โดยโรงงานผลิตในเมือง Chattanooga ก็ได้เริ่มกระบวนการผลิตแบบระบบไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อย รวมทั้งโรงงานที่ Pueblo และ Silao แห่ง Mexico ก็กำลังจะออนไลน์ตามมาในช่วงกลางทศวรรษนี้แล้วเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ VW ยังได้ลงทุนในเรื่องแบตเตอรี่ไปอีกกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ในอเมริกาเหนือก่อนการเปิดตัว ID.4 อีกทั้งยังเตรียมแผนที่จะเปิด Battery Engineering Lab (BEL) ใน Chattanooga ในพฤษภาคมนี้อีกด้วย รวมทั้งยังเตรียมพิจารณาสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่เพิ่มเติมในอเมริกาอีกด้วย

ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า วงการยานยนต์ไฟฟ้า EV นั้นกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแบรนด์ใหญ่ ๆ ของโลกก็เริ่มเพิ่มเงินลงทุนเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการที่ VW เริ่มลงทุนในเรื่องแบตเตอรี่นั้นถือว่าเป็นอีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ในการ Diversify องค์กรไม่ใช่แค่การพัฒนายานยนต์เพียงเท่านั้น
ทั้งนี้ ทีมงานคิดว่าจุดเปลี่ยนที่จะทำให้เกิด Mass Adoption ยานยนต์ไฟฟ้า EV ได้จริงนั้นน่าจะต้องขึ้นอยู่กับ 2 ส่วน คือโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของแต่ละพื้นที่ อย่างเช่นสถานีชาร์จไฟ พื้นที่ชาร์จไฟ ว่ามีความพร้อมมากแค่ไหน และเรื่องแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานในระยะทางไกลได้เทียบเท่ากับรถยนต์สันดาปภายใน ซึ่งหากสองส่วนนี้ตอบโจทย์จนทำให้ผู้ขับขี่รู้สึก “ยินดี” ที่จะเปลี่ยนการใช้รถยนต์สันดาปภายในมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV เพราะการใช้งานนั้น “ตอบโจทย์” ความต้องการได้หมด เชื่อว่าเป้าหมายในการเป็น Carbon Neutral คงจะเป็นไปได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน