7 เทรนด์ใหญ่ Digital Transformation หนุนขับเคลื่อนเร่งการเติบโตแห่งปี 2023

0

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ทำให้เทรนด์การทำ Digital Transformation ได้เริ่มเติบโตขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด ซึ่งหลายองค์กรได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้ตอบรับการโจทย์การทำงานในยุคใหม่ที่อาจเรียกว่าเป็น New Normal ในวันนี้ 

หากแต่โลกเทคโนโลยีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุด Mulesoft บริษัทในเครือ Salesforce นั้นได้ชี้ให้เห็นถึง 7 เทรนด์การทำ Digital Transformation ที่คาดว่าน่าจะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ที่เชื่อว่าจะสนับสนุนให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน มีดังต่อไปนี้

Automation เร่งประสิทธิภาพ

แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มเห็นองค์กรปรับใช้ระบบ Automation บ้างแล้ว หากแต่ Mulesoft คาดการณ์ว่าปี 2023 นี้การลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าวจะไปไกลกว่าเดิมอย่างมาก โดยเฉพาะในฝั่งของผู้ใช้งานภาคธุรกิจที่อยากจะ “ทำน้อยให้ได้มาก (Do more with less)” จะมีการปรับใช้ Robotic Process Automation (RPA) กันมากขึ้น เพื่อเสริมผลิตผล (Productivity) ให้สูงขึ้น และช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายองค์กรได้ดีขึ้นกว่าเดิม

“ทุกคนต้องการให้มีการ Automate งานที่ตัวเองทำอยู่ ในขณะที่ยังคงต้องพบเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ทุกภาคธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่ง Automation คือเรื่องที่จะสร้างแนวทางในการทำงานที่ช่วยประหยัดเวลา และยังคงสามารถขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างยั่งยืนด้วย” CEO แห่ง Mulesoft คุณ Brent Hayward กล่าว

Ex. UiPath

Composability เสริมความคล่องตัว

ความคล่องตัว (Agility) คือสิ่งที่องค์กรต้องมีในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ หากแต่องค์กรส่วนใหญ่มักจะพลาดเพราะเรื่องของการยึดติดกับเทคโนโลยีเก่า ๆ และเรื่องข้อมูลที่ยังคงเป็นไซโล (Data Silos) อยู่ในปัจจุบัน 

Mulesoft จึงคาดการณ์ว่าในปี 2023 นี้ องค์กรจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการปรับใช้กลยุทธ์ Composability (Composable Enterprise Strategy) หรือการแยกเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะทำให้สามารถนำฟีเจอร์หรือความสามารถต่าง ๆ ที่มีมา “ใช้ซ้ำ” หรือว่า “ประยุกต์” เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้และเกิดเป็นความจงรักภักดีแต่แบรนด์  (Loyalty) ที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป

ติดอาวุธ Low Code/No Code ตอบสนองแรงงานขาดแคลน

ทีมไอทีที่ต้องทำงานอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่องในการทำ Digital Transformation นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงงานที่ขาดแคลน ทั้ง ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น ดังนั้น Mulesoft จึงมองว่าจะมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในปี 2023 นี้ด้วยการปรับใช้เครื่องมือ Low Code/No Code กันมากยิ่งขึ้น

นอกจากเรื่องเครื่องมือแล้ว ยังน่าจะได้เห็นองค์กรต่าง ๆ เริ่มสร้างทีมงานที่ผสมผสานกันจากฝั่งไอทีและฝั่งธุรกิจมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเร่งสร้างโครงการที่จะช่วยให้เกิดการ Transformation ได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาที่จำกัด โดย Gartner ยังชี้ให้เห็นด้วยว่าแผนกไอทีที่มีผู้ใช้งานจากฝั่งธุรกิจเข้ามาเสริมนั้นจะสามารถเร่งการดำเนินโครงการ Digital Transformation ได้เร็วขึ้นถึง 2.6 เท่าเลยทีเดียว

Total Experience (TX) ทั้งลูกค้าและพนักงาน

ก่อนหน้านี้องค์กรมักจะมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience : CX) ให้ดีขึ้นเพื่อที่จะขับเคลื่อนให้องค์กรโต รายได้ดีขึ้น หากแต่หลังจากนี้ถึงเวลาที่องค์กรจะต้องกลับมาปรับปรุงในเรื่องประสบการณ์พนักงาน (Employee Experience : EX) ที่กำลังจะกลายเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จขององค์กรไม่แพ้เรื่อง CX แล้ว

Source: ShutterStock.com

โดย Mulesoft คาดการณ์ว่าปี 2023 นี้จะมีองค์กรชั้นนำของโลกจำนวนมากที่จะมองหาเรื่อง Total Experience (TX) เพื่อที่จะปรับปรุงเส้นทาง (Journey) ของทั้งฝั่งลูกค้าและพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เส้นทางที่ทั้งสองได้มาตัดกัน อันจะทำให้เกิดประสบการณ์ร่วมกันในอีกระดับที่สามารถขับเคลื่อนมูลค่าธุรกิจได้มากขึ้น ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้ซ้ำได้ทันที

Automated Data Intelligence ตัดสินใจได้เร็วกว่าเดิม

ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ กำลังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล (Data-Driven) หากแต่ข้อมูลในองค์กรส่วนใหญ่ที่จำเป็นจะต้องใช้งานนั้นมักยังคงจัดเก็บอยู่เป็นแบบไซโล และมีการผูกโยงกันข้ามไปข้ามมาระหว่างระบบ 

เหตุนี้เอง Mulesoft จึงกล่าวว่า ในปี 2023 องค์กรต่าง ๆ จะเริ่มแก้ไขปัญหาดังกล่าวกันมากขึ้น ที่จะทำให้มีความทันสมัย จัดการเป็นส่วน ๆ ที่พร้อมถอดประกอบ (Composable) ได้ พร้อมเชื่อมโยง (Integration) ระหว่างแพลตฟอร์ม ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง “Data Frabric” ที่ข้อมูลจะเปรียบเสมือนผืนผ้าที่เชื่อมโยงกันไว้อย่างสวยงามระหว่างแพลตฟอร์มและระหว่างผู้ใช้ธุรกิจ ที่พร้อมนำข้อมูลไปวิเคราะห์ได้แบบ Real Time ทันที ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรสามารถ Automate การตัดสินใจดำเนินการทำอะไรบางอย่างได้รวดเร็วกว่าเดิม

Integrated Cyber Defenses ป้องกันหลายชั้นมากขึ้น

ตามข้อมูลจาก Mulesoft เผยว่าด้วยการลงทุนในสถาปัตยกรรมแบบกระจาย (Distributed Architecture) และเทคโนโลยีขอบ (Edge) ที่เติบโตขึ้นนั้นจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัย (Security) มากขึ้นกว่าเดิมในปี 2023 ซึ่งเหตุนี้เอง องค์กรต่าง ๆ จำต้องปรับใช้วิธีการ “Cybersecurity Mesh” อันเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Composable ที่เชื่อมโยงบริการ Security แบบต่าง ๆ ที่กระจายตัวออกไปอย่างยืดหยุ่น ปกป้องหลายชั้นกันมากขึ้น

โดย Gartner ยังกล่าวด้วยว่า ปี 2024 นั้น องค์กรที่มีการปรับใช้สถาปัตยกรรมดังกล่าวจะสามารถลดผลกระทบในเรื่องการเงินอันเกิดจากเหตุเรื่อง Security โดยเฉลี่ยได้ถึง 90% หากแต่อย่างไรก็ดี การจะทำได้สำเร็จนั้นอาจจำต้องมีระบบหรือหน้าจอบริหารจัดการ Connection, API องค์ประกอบต่าง ๆ และบอทที่ Automation ได้จากหน้าจอ Administration ที่เดียว

Sustainability ทุกสิ่งที่ต้องมุ่งเน้น

ดังที่จะได้เห็นผู้บริหารมากมายได้ออกมาพูดในเรื่องสภาพภูมิอากาศที่ทุกองค์กรจะต้องร่วมด้วยช่วยกันในการทำให้เกิดขึ้น เพื่อช่วยปกป้องให้ผู้คนยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เช่นเดิม ซึ่งหลังจากนี้จะกันเห็นว่าธุรกิจใด ๆ ก็ตามจะต้องมีการคำนึงถึงเรื่องความยั่งยืนกันมากขึ้น

Mulesoft กล่าวว่าปี 2023 นี้ องค์กรจะมีการขับเคลื่อนในเรื่อง Sustainability ในการดำเนินกิจการมากขึ้น ด้วยการใช้กลยุทธ์ Composibility ที่จะช่วยปลดล็อกและเชื่อมโยงข้อมูลกับแอปพลิเคชัน พร้อมกับการปรับใช้ Automation และ Analytics เพื่อเฟ้นหาข้อมูลเชิงลึกได้ฉับไวยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ที่มา: https://venturebeat.com/automation/top-7-digital-transformation-trends-to-drive-efficient-growth-in-2023/