“เควิน บราวน์ รองประธานอาวุโส EcoStruxure Solutions ธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค”
ก่อนหน้านี้เราได้บัญญัติคำว่า DCIM 3.0 เพื่ออธิบายถึงวิวัฒนาการที่เห็นในตลาดซอฟต์แวร์ด้านการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล ที่เรียกได้ว่า เป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่จะผลักดันแนวโน้มไปสู่ ‘DCIM รุ่นต่อไป’
DCIM 3.0 บ่งบอกถึงวิวัฒนาการซอฟต์แวร์ใน 3 ยุค โดยยุคแรก DCIM 1.0 เริ่มในทศวรรษที่ 1980 ด้วย UPS ขนาดเล็กบนพีซีเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์มาช่วยในการจัดการ ต่อมา DCIM 2.0 เริ่มในปี 2000 เมื่อพีซีเซิร์ฟเวอร์เปลี่ยนมาสู่รูปแบบของแร็ค (rack) ซ้อนกันเป็นชั้นๆ และเริ่มย้ายมาอยู่ในศูนย์ข้อมูล ซึ่งทำให้เกิดความท้าทายในการวางแผนรูปแบบใหม่ ทั้งในส่วนของพื้นที่ พลังงาน และความสามารถในการระบายความร้อน และถัดมาในปี 2020 คือ DCIM 3.0 ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิดได้ตอกย้ำถึงภารกิจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในทุกที่ ไม่เฉพาะแต่ในศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิม
เรามองว่าการขยายการใช้งานไอทีแบบไฮบริด (“ศูนย์ข้อมูลที่ไร้ขอบเขต”) และการต้องอาศัยความพร้อมใช้งานไอทีที่ตามมา ทำให้เกิดความท้าทายเฉพาะด้านในการรักษาความยืดหยุ่นเอาไว้ บริษัทต่างๆ จึงต้องการความสามารถในการมองเห็นการทำงานของไซต์งานที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น เพราะโดยปกติจะไม่มีพนักงานประจำไซต์งานไว้คอยดูแลเรื่องการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานนั่นเอง
นอกจากนี้ เรายังได้ถกประเด็นถึงภัยคุกคามด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาท้าทายใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ในการโจมตีขนาดใหญ่ที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกศูนย์ข้อมูลแบบเดิมมีความปลอดภัย โดยจากข้อเท็จจริง มีบริษัทเพิ่มขึ้นในอัตรา 40% ที่รายงานว่าบริษัทตนตกเป็นเหยื่อการโจมตีทางไซเบอร์
เรายังได้เคยคาดการณ์ไว้ว่า เรื่องความยั่งยืนและ ‘Green IT’ จะเข้าไปอยู่ในลิสต์ที่เป็นลำดับความสำคัญขององค์กรส่วนใหญ่มากขึ้น
หากแนวโน้มเหล่านี้เป็นจริง ก็จะเป็นปัจจัยบ่งชี้ที่สำคัญถึงมุมมองดั้งเดิมของเราในเรื่อง DCIM และต้องมีการกระตุ้นตลาดกันอีกครั้ง เพราะหลังจากผ่านไปหนึ่งปี เราต้องถามว่า เราคิดถูกหรือไม่? จะมีการพัฒนาคลื่นลูกใหม่ของ DCIM หรือไม่?
ทฤษฎี DCIM ของเราจะยังอยู่ถึงปีถัดไปหรือไม่?
เพื่อให้ทฤษฎีของเราถูกต้อง โดยพื้นฐานแล้วเราต้องยืนยันว่า 4 ประเด็นต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง
- สภาพแวดล้อมไอทีแบบไฮบริดจะอยู่ไปอีกยาวนาน
- ความยืดหยุ่นจะยังคงเป็นความท้าทายที่มีความสำคัญสูงสุด
- ความกังวลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะผลักดันให้เกิดความต้องการเครื่องมือบริหารจัดการที่ดีขึ้น
- ความยั่งยืนจะกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับซีไอโอ
เราได้พูดคุยกับลูกค้า และดูสถิติมากมาย เช่น ที่ได้จากมาตรวัดความเสี่ยงของ Allianz และค้นคว้าบทความต่างๆ จากสื่อ แม้สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แต่ก็นับเป็นข้อพิสูจน์
ประการแรกคือ สภาพแวดล้อมไอทีแบบไฮบริดยังคงอยู่อีกยาว ในทุกการสนทนา ในบทความต่างๆ และในการประชุมทุกครั้งที่เคยเข้าร่วมในปีก่อนหน้าก็ตาม ยังไม่มีใครโต้แย้งว่าไอทีแบบไฮบริดกำลังจะหายไป แม้จะมีการถกประเด็นเกี่ยวกับสิ่งที่อาจดูคล้ายว่าจะเป็นแบบนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครตั้งคำถามว่าในอนาคตอันไกลจะยังมีอยู่หรือไม่ จึงพอจะบอกได้ว่า การยืนยันในเรื่องนี้เป็นความจริง
ประการที่สอง ความท้าทายด้านความยืดหยุ่นจะยังคงเป็นความท้าทายอยู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางคนอาจคิดว่าตราบใดที่ยังมีการใช้งานไอทีอยู่ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาความท้าทายได้ แต่เราก็ยังไม่ได้แก้ไข เรายังคงได้ยินเกี่ยวกับการหยุดบินของ FAA เนื่องจากปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ น้ำรั่วทำให้เกิดไฟไหม้แบตเตอรี่ โรงพยาบาลชะลอการผ่าตัดเนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์หยุดทำงาน และกระทั่งทำให้เกิดการขัดข้องในการส่งไฟนอลโปรเจ็คของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวิชิตาก็ตาม โดยเรายังคงเผชิญกับความท้าทายในการทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีมีความยืดหยุ่น ทำให้เราประเมินว่าการยืนยันนี้เป็นความจริง
ประการที่สาม ความกังวลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จะผลักดันให้เกิดความต้องการเครื่องมือที่ดีขึ้น จากข้อมูลของ Allianz Risk Barometer เหตุการณ์ทางไซเบอร์นับเป็นอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักทางธุรกิจที่บริษัทต่าง ๆ กลัวมากที่สุด โดยอยู่ที่ 45% ซึ่งสูงกว่าวิกฤตพลังงานที่ 35% และภัยพิบัติทางธรรมชาติ 31% เรายังทราบอีกว่าอุปกรณ์ OT ส่วนใหญ่ในตลาดไม่ได้ใช้เฟิร์มแวร์ล่าสุด เราต้องการเครื่องมือที่ดีกว่าเพื่อช่วยให้องค์กรด้านไอทีรักษาอุปกรณ์ของตนให้ปลอดภัย การยืนยันนี้เราประเมินว่าเป็นความจริง
ประการที่สี่ ความยั่งยืนจะกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรด้านไอที จากการยืนยันทั้งหมดของเรา เราเชื่อว่าเรื่องนี้ดูเป็นการคาดการณ์ที่สุด จากนั้น เราเห็นบทความมากมายทั้งใน Wall Street Journal นิตยสาร CIO และ InformationWeek รวมถึงสื่ออื่นๆ ที่เน้นว่า “เป็นสิ่งที่ CIO ต้องรู้” หรือ “การเผชิญหน้ากับข้อบังคับด้านความยั่งยืน” ซึ่งเราจัดให้การยืนยันเรื่องนี้ว่า “ยังไม่ใช่” แต่เป็นเรื่องที่ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของตลาด สู่ศูนย์ข้อมูลไอทีแบบไฮบริด
ในวันครบรอบการเกิดขึ้นของคำว่า DCIM 3.0 และการประกาศว่าเรากำลังปรับปรุงการนำเสนอ EcoStruxure IT ให้ทันสมัยเพื่อให้ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงของตลาดสู่ศูนย์ข้อมูล IT แบบไฮบริด ด้วยการเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน
EcoStruxure IT กำลังแก้ปัญหาท้าทายของลูกค้า ด้วยโซลูชันทั้งแบบ on-premise และบนคลาวด์เพื่อตรวจสอบและบริหารจัดการ พร้อมการปรับปรุง IT Expert, Data Center Expert และ NetBotz และเรากำลังทำเช่นเดียวกันในส่วนของการวางแผนและการสร้างแบบจำลองด้วยการปรับปรุง IT Advisor นอกเหนือจากการนำเสนอเรื่องการวางระบบต่างๆ และโซลูชันที่กำหนดการใช้งานได้ตามความต้องการเฉพาะ
เรากำลังตอบสนองความต้องการของซีไอโอ ผู้ที่มีบทบาทด้านการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีในศูนย์ข้อมูลทั่วโลกที่ครอบคลุมทั้งภายในองค์กร โคโลเคชั่น คลาวด์ และเอดจ์ และเรากำลังตอบสนองความต้องการเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในโคโลเคชั่น ด้วยการตอบสนองความต้องการของผู้เช่าในเรื่องความปลอดภัยและความยั่งยืน โดยช่วยให้องค์กรเหล่านี้ดำเนินการได้มากกว่าเรื่องของการปฏิบัติตามข้อตกลง SLA เพื่อสร้างการมองเห็นได้แบบเรียลไทม์
หนึ่งปีผ่านไป เรารู้สึกตื่นเต้นกับทิศทางที่ DCIM กำลังมุ่งไปข้างหน้า พร้อมกับช่วยลูกค้าลดความซับซ้อนและความสับสนด้านสภาพแวดล้อมไอที โดยลงทุนในธุรกิจซอฟต์แวร์ DCIM รวมถึงลงทุนในช่องทาง พันธมิตร และลูกค้าของเรา การที่เรามุ่งมั่นพยายามเรื่องความยั่งยืน ทำให้เราสามารถนำโซลูชันมาช่วยลูกค้าและพันธมิตร ให้ใช้พลังงานได้เกิดประโยชน์สูงสุด