IBM ร่วมกับ McCormick & Company สร้างรสชาติและสูตรอาหารใหม่ด้วย AI

0

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา IBM ได้ร่วมมือกับ McCormick & Company บริษัทผู้ค้าเครื่องเทศ เครื่องปรุง และเครื่องปรุงรสสำเร็จเก่าแก่ พัฒนา AI ที่ช่วยให้ McCormick สามารถค้นพบสมุนไพรชนิดใหม่ๆ สูตรปรุงรส และส่วนผสมน้ำซุปได้เร็วกว่าเดิม 3 เท่า

ในโครงการดังกล่าว ทีมงานจาก IBM Research ได้ใช้ประสบการณ์วิจัยเรื่องการจับคู่รสชาติเดิมที่ IBM มีอยู่และเทคโนโลยี IBM Research AI for Product Composition สร้างระบบ Machine Learning ซึ่งเรียนรู้ข้อมูลจากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสม สูตรอาหารเดิม ผลการทดลองภายใน ผลการทดลองกับลูกค้า และผลการขายในตลาด และใช้ความรู้เหล่านี้ในการสร้างสูตรอาหารใหม่ๆ สัดส่วนการผสมวัตถุดิบที่เหมาะสม ทำนายว่ามนุษย์จะตอบสนองอย่างไรกับสูตรที่คิดค้นขึ้น รวมไปถึงสร้างระบบเพื่อคำนวณว่าสูตรที่คิดมานั้นดีหรือไม่ดี

ระบบดังกล่าวนี้จะช่วยให้นักวิจัยรสชาติสามารถคิดค้นสูตรอาหารได้ง่ายและเร็วขึ้น ช่วย Optimize การใช้วัตถุดิบเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด (เช่น วนิลาจากพื้นที่ต่างๆของโลกก็มีรสชาติแตกต่างกันเล็กน้อย) อีกทั้งยังช่วยให้นักวิจัยสามารถฉีกกรอบเดิมๆที่มีอยู่อย่างไม่รู้ตัว (เช่นเมื่อต้องการรสชาติของเบคอน นักวิจัยอาจเริ่มจากสูตรที่ตนถนัด แต่ AI จะช่วยแนะนำสูตรที่เหมาะสมกว่าได้)

ประสบการณ์ในการรับรู้รสชาติของมนุษย์นั้นนับว่าเป็นโดเมนที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้นัก เดิมเราอาจเคยรู้ว่ามนุษย์มีการรับรู้รสเปรี้ยว หวาน เค็ม และขม แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มยอมรับกันมากขึ้นถึงการมีอยู่ของรสอูมามิ (Umami) และเป็นที่คาดกันว่าการรับรู้รสนั้นไม่ได้เกิดบนลิ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้ผู้คนมีประสบการณ์ที่ต่างกันออกไปกับอาหาร เช่น บางคนอาจคิดว่าผักชีนั้นมีรสชาติที่สดชื่น ในขณะที่คนอื่นๆคิดว่าแย่ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ การออกแบบประสบการณ์การลิ้มรสใหม่ๆจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ใช้เวลานานเพื่อฝึกให้ชำนาญ​ นอกจากเครื่องปรุงที่มีหลายพันชนิดแล้ว ผู้ออกแบบยังต้องกะสัดส่วนการผสมอย่างแม่นยำเพื่อให้เกิดรสชาติที่ดี และการที่สามารถนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาช่วยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือรสชาติที่ดีได้เร็วขึ้น ย่อมหมายถึงข้อได้เปรียบทางการค้าที่เพิ่มขึ้นด้วย

IBM กล่าวว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ ONE ที่ถูกคิดค้นจากระบบ AI ดังกล่าว จะมีวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกในช่วงกลางปี 2019 นี้ และด้วยความสำเร็จนี้ทำให้ McCormick ตัดสินใจเริ่มใช้งานระบบในห้องแล็ปกว่า 20 แห่งใน 14 ประเทศทั่วโลก