8 เทรนด์เทคโนโลยี Supply Chain ประจำปี 2019 จาก Gartner

0

Supply Chain นั้นเป็นงานที่ซับซ้อน และยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเมื่อโลกเชื่อมต่อถึงกัน และมีการส่งและจัดหาวัตถุดิบข้ามพรมแดนผ่านการขนส่งและการค้าขายระหว่างประเทศเป็นเรื่องปกติ ในบางครั้ง เครือข่ายของ Supply Chain นั้นยุ่งเหยิงจนธุรกิจในเครือข่ายไม่อาจรู้ได้ว่ามีบริษัทคู่ค้าจำนวนมากน้อยเพียงใดอยู่ในเครือข่าย

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกอะไรที่อุตสาหกรรม Supply Chain นั้นตื่นตัวกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลหลายประเภทมาใช้ Use-case แรกๆของบล็อกเชนที่เราได้ยินกันก็คือการนำมันมาใช้จัดการธุรกรรมใน Supply Chain นี่เอง ในวันนี้ Gartner ได้พาเราไปรู้จักกับ 8 เทรนด์เทคโนโลยีในปี 2019 ที่ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าว

Artificial Intelligence

AI นั้นเป็นเทคโนโลยีสารพัดประโยชน์ หนึ่งในการใช้งานของเทคโนโลยีนี้ที่ได้รับความสนใจมาก คือการสร้างระบบอัตโนมัติ หรือ Automation เพื่อลดภาระในการทำงานของมนุษย์ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความเร็วในการทำงาน โดย AI มีความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และการทำนายเหตุการณ์ซึ่งเป็นประโยชน์ในงานเช่น การทำนาย Demand ของลูกค้า การวางแผนการผลิต และการทำ Predictive Maintenance

Advanced Analytics

การวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูงนั้นมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการวิเคราะห์แบบ Real-time หรือใกล้เคียงที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจและปรับแผนการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เช่น การสร้าง Dynamic Pricing, การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศและการดำเนินการจาก IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการวิเคราะห์คุณภาพของสินค้าที่ผลิตออกมา

IoT

วงการ Supply Chain นั้นมีการนำ IoT ไปใช้อยู่พอสมควร แต่เทรนด์หนึ่งที่ Gartner คาดว่ากำลังมาแรงคือการนำ IoT เข้าไปใช้งานในทุกขั้นตอนของ Supply Chain แบบ End-to-end หากธุรกิจสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีอยู่แล้วเข้าด้วยกันได้ ธุรกิจ Supply Chain ก็จะมีการจัดการสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ระบบตรวจสอบสถานะที่ครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น ประสิทธิภาพในการดำนเนินการที่เพิ่มขึ้น การซัพพอร์ตลูกค้าที่ดีขึ้น และความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในระบบที่มากขึ้น

Robotic Process Automation (RPA)

RPA เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยธุรกิจลดต้นทุนในการดำเนินการ ลดความผิดพลาด และเร่งความเร็วในการดำเนินขั้นตอนต่างๆ RPA นั้นได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าทำงานได้ดีในกรณีที่เป็นงานง่ายๆ เช่นการทำ Data Integration เชื่อมต่อระบบเข้ากับระบบข้อมูลของ Supply Chain เจ้าอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ROI ของเทคโนโลยีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจจะสามารถนำ RPA ไปใช้ในองค์กรได้ในลักษณะใดมากน้อยแค่ไหน

Autonomous Things

Autonomous Things นั้นเป็นชื่อที่ Gartner ใช้เรียกรวมสิ่งที่สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาดในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ โดรน หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติก็ตาม Autonomous Things เหล่านี้ก่อให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆและช่วยปรับปรุงแนวทางการทำงานแบบเดิมๆให้ดีขึ้น โดยธุรกิจ Supply Chain สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาช่วยในงานอย่างการจัดการคลังสินค้า หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

Christian Titze – รองประธานฝ่าย Analyst จาก Gartner แนะนำว่าผู้บริหารด้าน Supply Chain ควรพิจารณานำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาใช้แทนที่มนุษย์หรือช่วยมนุษย์ในการทำงาน ซึ่งจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

Digital Supply Chain Twin

แนวคิดของ Digital Twin คือการจำลองระบบในโลกแห่งความเป็นจริงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล และสำหรับงาน Supply Chain ระบบเช่นนี้จะเป็นภาพจำลองของสิ่งที่เกี่ยวข้องและขั้นตอนทั้งหมดใน Supply Chain เช่น ผลิตภัณฑ์ ลูกค้า ตลาด ศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า โรงงานผู้ผลิต และองค์กรทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง การสร้าง Digital Twin จะช่วยให้ระบบทั้งหมดนั้นมีความโปรงใส และช่วยให้ธุรกิจได้รับรู้ถึงความเป็นไปในทุกสเต็ปของขั้นตอน Supply Chain ทำให้ธุรกิจมีข้อมูลที่ถูกต้องมาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจ

Immersive Experience

ปัจจุบันเทคโนโลยีอย่าง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) นั้นเข้าถึงได้ง่ายผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลาย ทำให้มันกลายมาเป็นเทคโนโลยีที่อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานร่วมกับระบบดิจิทัลได้โดยสิ้นเชิง โดยธุรกิจ Supply Chain อาจใช้ทั้งสองเทคโนโลยีนี้เพื่อลดระยะเวลาในการทำงาน เสริมความปลอดภัยในองค์กร และช่วยพนักงานให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้น เช่น การใช้ AR เพื่อจำลองอุปกรณ์และเปรียบเทียบการใช้งาน เป็นต้น

Blockchain

เทรนด์สุดท้ายที่ Gartner แนะนำ คือ Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพมาในการแก้ปัญหาในระบบ Supply Chain ที่ซับซ้อนและขยายกว้างครอบคลุมทั่วโลก ในปัจจุบัน มีโซลูชัน Blockchain จำนวนมากถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ Supply Chain โดยเฉพาะ ซึ่งก็ประกอบไปด้วยความสามารถในการจัดเก็บข้อมูล การเชื่อมต่อระหว่างองค์กร การยืนยันเงื่อนไข การรักษาความปลอดภัยข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การจัดการกับสัญญา และการจัดการตัวตน (Identity)

การใช้บล็อกเชนนั้นจะช่วยให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายของยุคดิจิทัลอย่างการเปลี่ยนขั้นตอนเป็นระบบอัตโนมัติ การมี Traceability ในระบบงาน และการรักษาความปลอดภัย โดยไม่ต้องมีการกำกับดูแลในทุกธุรกรรม และข้อมูลที่เขียนเข้าระบบไปแล้วก็ไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้