เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา LinkedIn ผู้ให้บริการเครือข่ายโซเชียลสำหรับ Professionals ได้ประกาศย้ายระบบจากเดิมที่อยู่ใน Data Center ของตัวเองไปยัง Public Cloud ของ Microsoft Azure โดยสำนักข่าว Venture Beat ได้รายงานเพิ่มเติมถึงเหตุผลและความเป็นไปของการตัดสินใจในครั้งนี้ดังนี้
Mohak Shroff – SVP ฝ่ายวิศวกรรมให้สัมภาษณ์กับ Venture Beat ว่าการย้ายระบบครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหนัาเมื่อครั้ง Microsoft เข้าซื้อ LinkedIn ไปด้วยมูลค่า 26,200 ล้านเหรียญเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา LinkedIn ได้มีการประเมินภายในถึงการย้ายระบบขึ้นไปยัง Public Cloud หลายรอบ ทว่าในครั้งที่ผ่านๆมา ทีมของ LinkedIn ยังเห็นว่ายังไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะย้ายระบบไป
แต่ในการประเมินครั้งล่าสุดเมื่อ 6 เดือนก่อน ด้วยความสามารถของ Public Cloud และช่องทางในการย้ายระบบในปัจจุบัน ทางทีมได้เห็นพ้องว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่จะย้ายไปใช้บริการ Public Cloud โดยเหตุผลหนึ่งในการตัดสินใจนี้คือการที่ Public Cloud นั้นมาถึงจุดที่มีความแน่นอนและอนาคตชัดเจน มีการลงทุน นวัตกรรม และสเกลการให้บริการที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้ชัดเจนว่า Public Cloud เป็นส่วนหนึ่งของอนาคตอย่างแน่นอน
การตัดสินใจย้ายระบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อนเท่านั้น และ Shroff คาดการณ์ว่าการย้ายระบบทั้งหมดจะใช้เวลาอย่างต่ำ 3 ปี โดยวางแผนว่าประมาณหนึ่งปีครึ่งถึงสองปีหลังจากนี้จะดำเนินการไปถึงจุดที่เป็นจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง (Inflection Point) ของการใช้งาน Public Cloud และขั้นตอนหลังจากนั้นก็จะดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วกว่าตอนเริ่มต้น
ปัจจุบัน LinkedIn มีการใช้งานคลาวด์ของ Microsoft Azure อยู่ 3 ช่องทางหลักด้วยกัน ได้แก่
- Azure Media Services สำหรับการให้บริการวิดีโอในแพลตฟอร์ม
- Microsoft Text Analytics API (Cognitive Service) ที่เป็นเทคโนโลยี Machine Translation สำหรับแปลภาษาในหน้าฟีดของ LinkedIn และ
- Content Moderator (Cognitive Service) ที่ช่วยคัดกรองคอนเทนต์ที่เหมาะสมให้กับแพลตฟอร์ม
ย้ายไป Public Cloud แล้วได้อะไร
Shroff เห็นว่าการย้ายระบบในครั้งนี้นั้นมีประโยชน์หลักๆทั้งหมด 3 ด้านใหญ่ คือ
- ได้ใช้งาน Region ทึ่มีกระจายอยู่ทั่วโลกและกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆของ Microsoft Azure
- ความยืดหยุ่นของการใช้งาน Public Cloud เช่นในการรับมือกับ Traffic ที่มีการเพิ่มและลดตามสถานการณ์ และการใช้งานเครื่องมือต่างๆโดยเฉพาะเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือ AI และพลังการประมวลผลบน GPU
- ประหยัดเวลาในการเฝ้าระวังความปลอดภัย ดูแล และบำรุงรักษาระบบ มีเวลามากขึ้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักของธุรกิจ
Shroff กล่าวว่าการตัดสินใจในครั้งนี้นั้น Microsoft ไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด และ Microsoft Azure นั้นเป็นบริการ Public Cloud ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการอันซับซ้อนของ LinkedIn ได้อย่างดีที่สุด โดยพวกเขาเช่ือว่าหนึ่งในคุณค่าที่เขาได้รับจาก Azure คือการทีทีม Azure สามารถเข้ามาช่วยพัฒนาความสามารถของระบบคลาวด์ที่พวกเขาต้องการใช้ได้ และหากจะย้ายไปใช้บริการ Public Cloud รายอื่น LinkedIn ก็ย่อมเสียความสามารถที่ทีมงาน Azure สร้างให้ตรงนี้ไป
นอกจากนี้ เป็นที่น่าสนใจว่าเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่มีผลเท่าไหร่กับการตัดสินใจย้ายระบบครั้งนี้ Shroff กล่าวว่าการย้ายไปใช้ Microsoft Azure นั้นเสมอตัวด้านค่าใช้จ่าย (cost-neutral) สำหรับ LinkedIn ที่จากเดิมมีระบบอยู่ใน Data Center ของตัวเอง โดยในปัจจุบัน ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า LinkedIn จะทำอย่างไรต่อไปกับ Data Center เดิมเมื่อการย้ายเสร็จสิ้นแล้ว