ถอดวิสัยทัศน์ผู้บริหาร SAP กับบทสัมภาษณ์เจาะลึกแบบ Exclusive กับ ADPT.news

0
Shot of a programmer connecting to a user interface while working in an office at night

สืบเนื่องจากงาน SAPPHIRE NOW บริษัท SAP ได้ประกาศวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญ เผยกลยุทธ์การขยายเครือข่ายธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมแนวทางพัฒนามาตรฐานและเทคโนโลยีที่ช่วยขับเคลื่อนด้านการสร้างความยั่งยืน รวมถึงเปิดตัว RISE with SAP transformation packages for specific industries เพื่อช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจให้สามารถดำเนินงานในแบบ Intelligent Enterprise ได้

ทีมงาน TechTalkThai และ ADPT.news เป็นสื่อเดียวในประเทศไทยที่ได้ร่วมสัมภาษณ์พิเศษกลุ่มย่อยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค โดยมีโอกาสได้พูดคุยแบบเจาะลึกกับ SAP Executive Board Member เกี่ยวกับการประกาศอัปเดตโซลูชันล่าสุดและทิศทางการดำเนินงานสำหรับภูมิภาคนี้ นำโดยคุณ Thomas Saueressig ผู้ดำรงตำแหน่ง SAP Product Engineering และคุณ Scott Russell ผู้ดำรงตำแหน่ง Customer Success ของ SAP

คุณ Scott Russell (ซ้าย) และคุณ Thomas Saueressig (ขวา)

Q: เพราะเหตุใด SAP ถึงต้องการขยายเครือข่ายธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก

A: ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา Supply Chain ไม่ได้เป็นเรื่องที่อยู่เบื้องหลัง แต่เป็นเรื่องสำคัญระดับแนวหน้าและเป็นจุดศูนย์กลาง เราจึงต้องปรับตัวอย่างฉับไวเพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อีกทั้งเรายังเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมโยงกับทั่วทั้งโลก เพราะเราเชื่อในเครือข่ายและโลกที่เชื่อมต่อถึงกันได้ และนี่จึงเป็นจุดที่ SAP เข้ามาช่วยเชื่อมโยงบริษัทต่าง ๆ ให้เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกผ่านข้อมูลเชิงลึกเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในโลกแห่งเครือข่าย ซึ่งบริษัทเน้นเรื่อง Intelligent Enterprise ให้เกิดขึ้นจริงเพื่อความยั่งยืน เพราะไม่มีบริษัทไหนสามารถดำเนินธุรกิจได้เพียงลำพัง จึงต้องเปิดรับเครือข่ายเพื่อให้ขยายตัวและปรับตัวได้ต่อความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น

Q: ประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย มีความพร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์ และการวางแนวทางสู่การเป็น “Intelligent Enterprise” มากน้อยเพียงใด?

A: ประเทศในเอเชียกำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนทางสังคมในหลายด้าน อาทิ โครงสร้างประชากร การบริโภคที่เพิ่มขึ้น และนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดในโลก อีกทั้งเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชีย (​Emerging Asian Economies) จะขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก หากพิจารณาในส่วนของ GDP พบว่า 40% ของตลาดโลกอยู่ในเอเชียและจะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 50% ภายในสิ้นปี 2030 และเราได้เห็นการปรับตัวครั้งสำคัญทางดิจิทัลขององค์กรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ Consumer ไปจนถึงอุตสาหกรรมการผลิตทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย เริ่มต้นวางเส้นแนวทางการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานในแบบ Intelligent Enterprise ประกอบกับภูมิภาคเอเชียมีความหลากหลายของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ฐานลูกค้าของเรามีความต้องการโซลูชันที่ตอบโจทย์แตกต่างกัน ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการมาเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่ได้ปรับแต่งโซลูชันซอฟต์แวร์ด้วยการติดตั้งโค้ดดิ้งที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการดำเนินงานเฉพาะทางของพวกเขา โดยเรามีการพัฒนาโซลูชันเหล่านี้ร่วมกับลูกค้าเมื่อหลายปีก่อน ทำให้พบว่าปัจจัยด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ดังนั้น เราจึงส่งมอบบริการล่าสุด RISE with SAP เพื่อช่วยให้ลูกค้าปรับตัวและสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

Image credit: SAP

Q: อะไรเป็นจุดขายของ SAP ที่ทำให้บริษัทโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น

A: กลยุทธ์ของบริษัท คือ การช่วยทุกธุรกิจให้ดำเนินการได้ในรูปแบบของ Intelligent Enterprise ซึ่งเทคโนโลยีของ SAP ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยบริษัทต่าง ๆ ทุกขนาดในหลายอุตสาหกรรมให้วางแผนเติบโตได้ในระยะยาว เทคโนโลยีอันชาญฉลาดจาก SAP ประกอบไปด้วย AI, Machine Learning, IoT, Robotic Process Automation (RPA) และ Blockchain โดยรวบรวม จัดการและดึงข้อมูลเชิงลึกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่นำไปใช้วางกลยุทธ์ดำเนินการต่อได้ ทำให้ข้อมูลเกิดมูลค่าขึ้นมา ซึ่งช่วยให้ลูกค้ากำหนดเป้าหมายที่มีโอกาส ตระหนักถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว และพัฒนากระบวนการทางธุรกิจทั้งหมดเพื่อปรับแผนโมเดลธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และบริการขึ้นใหม่

Q: โซลูชันของ SAP มีบทบาทอย่างไรในการพลิกโฉมธุรกิจสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย

A: การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเป็นการเปลี่ยนแปลงของทั้งบริษัท เพราะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการเข้าถึงและการให้บริการแก่ลูกค้า เราจึงเริ่มจากรูปแบบการค้าก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มเปลี่ยนช่องทางมาเป็นรูปแบบออนไลน์ ซึ่งการทำให้แตกต่างนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ประสบการณ์การซื้อขาย แต่รวมไปถึงการส่งสินค้าในเวลา ซึ่งอาจจะเป็นการจัดส่งสินค้าคุณภาพภายในวันเดียวก็เป็นได้ ดังนั้น จึงต้องพิจารณาการผนวกรวมตั้งแต่เบื้องหน้าและเบื้องหลังใน Supply Chain เพื่อนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าแบบองค์รวม แต่ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงการคืนสินค้าซึ่งเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนด้วย จากตรงนี้เองที่ SAP ได้นำเสนอโซลูชันที่ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบโจทย์การนำเสนอสินค้าเพียงด้านเดียว แต่ยังรวมไปถึงการให้บริการและมอบประสบการณ์แก่ลูกค้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนสมัครสมาชิกไปจนถึงการเรียกเก็บเงินจากข้อมูลการทำธุรกรรมมหาศาล ซึ่งต้องทำให้กระบวนการ end-to-end นั้นเหมาะสม โซลูชัน SAP จึงครอบคลุมทุกขั้นตอนเพื่อตอบโจทย์การทำธุรกิจ

Q: ในมุมระดับภูมิภาค ประเทศไทยมีประเด็นไหนที่น่าสนใจหรือน่าจับตามองบ้างในการใช้โซลูชันของ SAP

A: จากประสบการณ์ที่เคยทำงานในประเทศไทยมาหลายปี SAP มีความเข้าใจกับตลาดประเทศนี้ หากมองในแง่ของตลาดแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศไทยที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการเกษตร การผลิต การท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงนี้ ความสามารถในการเข้าใจความต้องการของลูกค้า การคาดการณ์สัญญาณแนวโน้มของอุปสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้นั้นล้วนเป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะด้านสินค้าเพื่อผู้บริโภคหรืออื่น ๆ ก็ล้วนเกี่ยวกับการเข้าถึงและเชื่อมโยงกับลูกค้าไม่ว่าจะผ่านช่องทางรูปแบบใดก็ตาม คุณสมบัติของ Rise with SAP จึงช่วยตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้ แต่การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงนั้นก็แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับบริบทการใช้งาน

Q: มีคำแนะนำอย่างไรสำหรับธุรกิจที่ต้องการนำโซลูชัน SAP มาประยุกต์ใช้กับองค์กรของตน

A: Digital Transformation ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เพราะมันคือการยอมรับการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดใหม่จากวิธี “ดั้งเดิม” ที่เราทำธุรกิจและการทำความเข้าใจสถานการณ์แบบองค์รวมก่อนที่จะนำโซลูชันดิจิทัลมาใช้ ในเมื่อลูกค้ามองหาความยืดหยุ่นที่มากขึ้น ลูกค้าเองก็ย่อมมีการดำเนินการมากกว่าแค่การโยกย้าย IT ไปยังคลาวด์ ลูกค้าของเราต้องการพลิกโฉมธุรกิจสู่ดิจิทัล ดังนั้น SAP ก็พร้อมให้การสนับสนุนลูกค้าด้วยเทคโนโลยีของบริษัท เราสามารถสร้าง Roadmap ของเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและพลิกโฉมวิธีการดำเนินธุรกิจ เร่งการทำธุรกิจให้เป็นดิจิทัลเพื่อให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว สร้างผลกำไร และยั่งยืนมากขึ้น