ไม่มีใครใช้! บริษัทเจ้าของ WordPress.com ปิดออฟฟิศหลังพนักงานทำงานที่บ้านกันหมด

0

อาคารดัดแปลงจากโกดังเก็บของขนาด 15,000 ตารางฟุตใน “ย่านธุรกิจที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดของซานฟรานซิสโก” อดีตออฟฟิศของของ Automattic บริษัทเจ้าของบริการบล็อคออนไลน์ WordPress.com ถูกลงประกาศในเว็บไซต์นายหน้าอสังหาริมทรัพย์หลังการตัดสินใจปิดออฟฟิศของ CEO Matt Mullenweg ด้วยเหตุผลที่ว่าแทบไม่มีใครเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศเลย

“เรามีออฟฟิศที่[ซานฟรานซิสโก]ตั้งแต่เมื่อ 6 หรือ 7 ปีก่อน สัญญาเช่าดีทีเดียวเลยล่ะ แต่ไม่มีใครเข้าไปใช้ มีคนเข้าไปใช้ 5 คนกับพื้นที่ 15,000 ตารางฟุต ได้พื้นที่กันคนละ 3000 ตารางฟุต” Matt Mullenweg กล่าวใน Stack Overflow podcast ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ตามคำกล่าวของโฆษกของบริษัท ออฟฟิศที่สวยงามและครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ครัว ห้องอาบน้ำ และมุมบันเทิง ในทั้งซานฟรานซิสโก (อดีต), พอร์ตแลนด์, และเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้นั้น เป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกของ co-working space สำหรับพนักงานเท่านั้น Automattic อนุญาตให้พนักงานทั้ง 550 คนทำงานจากที่ใดก็ได้ ซึ่งรวมไปถึงการมีเงินสนับสนุน 250 เหรียญต่อเดือนสำหรับการใช้ co-working space และค่ากาแฟหากพนักงานอยากจะทำงานที่ร้านกาแฟอีกด้วย

บริษัทสตาร์ทอัพ Automattic มีมูลค่าโดยประมาณการสูงถึง 1.16 ล้านเหรียญสหรัฐในการระดมทุนรอบล่าสุดในปี 2014 ผู้เป็นเบื้องหลัง WordPress.com ที่เป็นฐานให้กับเว็บไซต์ราว 27% ในอินเทอร์เน็ต นั้นมีการดำเนินการในบริษัทที่เฉพาะตัว เช่น การไม่จำกัดจำนวนวันลาพักร้อน และการใช้งบประมาณบริษัทตามที่พนักงาน”เห็นว่าดีที่สุด” บริษัทประกอบไปด้วยพนักงาน 70 ทีมจาก 45 ประเทศทั่วโลก ซึ่งทำงานผ่านช่องทางออนไลน์ที่ประกอบไปด้วย

  • Slack – สำหรับการพูดคุยทั่วไปในแต่ละวัน
  • P2 – ธีม WordPress หน้าตาคล้ายฟีด Twitter สำหรับการอภิปรายเรื่องราวต่างๆในเชิงลึก
  • Wiki – สำหรับคู่มือและเนื้อหาที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ
  • Zoom – สำหรับการประชุมผ่านวิดีโอ

อย่างไรก็ตาม หนทางในการดำเนินการด้วย remote work นั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากอุปสรรค Automattic ผ่านขั้นตอนการลองผิดลองถูกกับเทคโนโลยีที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2005 ก่อนจะมาจบที่เทคโนโลยีข้างต้น

สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาหลักที่หลายๆบริษัทประสบในการทำงานแบบกระจายตัวคือการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหลุดจากวงโคจรของงานดังที่อดีต CEO Toni Schneider ของ Automattic เคยกล่าวไว้ว่าเป็น”สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการทำงานจากที่บ้าน” การที่การสื่อสารผ่านตัวอักษรนั้นไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ได้อย่างการ”รู้จัก”กันจริงๆ หรือการพลาดการแสดงออกทางสีหน้าที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด

ความเข้าใจผิดและสารที่หายไปกับการใช้ตัวหนังสือแทนการพูดคุยต่อหน้าอาจถูกลดลงด้วยเทคโนโลยี video call แบบกลุ่มที่ดีขึ้น แต่ทางบริษัทก็ยอมรับว่ายังไม่สามารถเอาชนะประสิทธิภาพของการสื่อสารแบบต่อหน้าได้ โดย Automattic พยายามลดอุปสรรคดังกล่าวด้วยการนัดรวมประจำปีในสถานที่ต่างๆที่มีจุดมุ่งหมายให้พนักงานได้พบปะ มีกิจกรรมร่วมกันทั้งในการทำงานและการพักผ่อน

“จริงอยู่ที่การทำงานแบบ remote นั้นเป็นไปได้ แต่การเชื่อมความสัมพันธ์และความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นด้วยการอยู่ต่อหน้ากันจริงๆนั้นไม่สามารถถูกทดแทน[ด้วยเทคโนโลยี]ได้” -Mullenweg, 2016

ในขณะที่บริษัทใหญ่ๆอย่าง IBM ต้นกำเนิดของการทำงานแบบ remote และ Yahoo ต่างก็ยกเลิกการทำงานแบบ remote หลังจากที่ได้นำไปใช้ในระยะหนึ่งเพราะเชื่อว่าการทำงานข้างๆกันในออฟฟิศนั้นมีประสิทธิภาพดีกว่า เราก็ยังเห็นบริษัทแบบ Automattic ที่ดำเนินการด้วยการทำงานแบบ remote ในความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป เกมการแข่งขันไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีที่สุดนี้อาจไม่มีผู้แพ้ แต่มีผู้ชนะคือพวกเราทุกคนที่มีทางเลือกมากขึ้นก็เป็นได้